3 พฤศจิกายน 2554

มันผิดตรงไหน??


       กลายเป็นเรื่องขึ้นมาแล้วหล่ะสิครับ......กับข่าวในกรณีที่เกิดการหลุดของงูชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปในแถบแอฟริกา ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของผู้ที่นำมาเลี้ยง (ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ไม่อาจรู้ได้) ได้ทำสัตว์เลี้ยงของเค้านั้นหลุดไป ซึ่งก็คืองู กรีนแมมบ้า จำนวนหลายสิบตัว

       คำถามที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผมเป็นสิ่งแรกคือ..........การนำสัตว์ที่ไม่มีอยู่ในประเทศของเราเค้ามาในประเทศไทยนั้น มันมีระบบขั้นตอนในการตรวจสอบยังไง? ...........ใครจะนำสัตว์อะไรมาเลี้ยงก็ได้อย่างนั้นหรือไม่? นั่นเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมานานพอสมควรแล้วเนื่องจาก ถ้านำสัตว์เหล่านี้เข้ามา มันก็ควรมีการตรวจสอบ รวมถึงการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง 
"ไม่ใช่ว่าใครมีเงินก็สามารถเลี้ยงได้หมดทุกอย่าง"

     ผมเชื่อว่าในประเทศไทยยังมีสัตว์เลี้ยงผิดกฎหมายอีกหลายชนิด ที่มีคนนำมาเลี้ยงกันอย่างผิดกฎหมาย และเมื่องูชนิดนี้ได้หลุดออกไปอยู่ตามพื้นที่ตามธรรมชาติแล้ว....เราก็ได้แต่ภาวนาว่า เราจะจับมันได้หมดหรือไม่? (ซึ่งมันก็ไม่น่าจะหมดได้ง่ายๆ) 

       ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงประชาชน เริ่มตื่นตัวให้ความสำคัญกับงูชนิดนี้กันมากขึ้น มีการประกาศทั้งจับเป็นและจับตายกับงูชนิดนี้ (ซึ่งข่าวล่าสุดวันที่ 4 พ.ย. 54 สามารถสังหารงูชนิดนี้ได้แล้ว 1 ตัว) ประชาชนเริ่มตื่นตัวและระแวงกับงูชนิดนี้มากขึ้น เนื่องจากมันมีลักษณะสีคล้ายงูเขียว แต่พิษร้ายกาจมากกว่า และอันตรายกว่า ที่สำคัญ ยังไม่มีเซรุ่มรักษาในเมืองไทย ....................... หลังจากข่าวการสังหารงูได้เกิดขึ้นทำให้ผมสงสัยกับประเด็นที่ว่า......  
"งูกรีนแมมบ้ามันผิดอะไร ?"
       ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศนี้........ถูกลักพาตัวมายังประเทศนี้.......ถูกนำมาเลี้ยงทั้งๆที่วิถีชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ถูกเลี้ยง.......สุดท้ายมนุษย์ก็กำลังจะรุมฆ่าฉัน !!! .................... มันก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่แปลกดีนะครับ....ถ้างูมันพูดได้มันคงจะถามกับเราไปแล้ว

       เราคงเคยได้ยินกำคำถามเวลาเราถามมนุษย์กันเองกับคำถามที่ว่า.....คุณเกลียด หรือสัตว์ชนิดใดน่ากลัวมากที่สุด ??  หลายคนก็จะตอบว่า "ชั้นเกลียดตุ๊กแก เกลียดแมลงสาบ เกลียดคางคก งู ฯลฯ"

       แต่สำหรับผมแล้ว......สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือ .... มนุษย์ !! นั่นแหล่ะครับ
มนุษย์.........เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาเพียงไม่กี่ล้านปี แต่ทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกเลวร้ายลงได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี

มนุษย์.........เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไรความปราณี

มนุษย์........สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆเพื่อสนองความต้องการต่อการอุปโภคและบริโภคของตนเอง

 เพราะฉะนั้น.....มนุษย์อย่างเราๆนี่แหล่ะ คือฆาตกรอย่างแท้จริง.......ต่อทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก.....
       นี่หรือคือการกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก....จากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ.....หรือสิ่งมีชีวิตผู้มีอารยธรรม

       จะต้องมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายเท่าไหร่ ??  ที่จะต้องสังเวยต่อความต้องการอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์??............   เมื่อไหร่มนุษย์เราจะรู้จักพอ ??


 (จริงๆแล้วบล็อคนี้เป็นบล็อคที่เขียนในเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬา ซึ่งผู้เขียนถนัด แต่กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผู้เขียนอยากเขียนขึ้นเพื่อเตือนสติเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง.....หากเกิดความผิดพลาดในข้อมูล ผู้เขียนขอน้อมรับทุผิดกประการ....)

20 กันยายน 2554

SCG All thailand badminton championship 2011


       ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ที่สำคัญของประเทศไทย ในรายการ  SCG All thailand badminton championship 2011 ซึ่งเป็นรายการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ผมคิดว่ารายการนี้มีความสำคัญต่อนักกีฬาแบดมินตัน เพราะรายการนี้เป็นการแข่งขันที่มีความสำคัญมากกว่าการได้เงินรางวัล แต่ถือเป็นศักดิ์ศรี และเกียรติยศสูงสุดของการเป็นนักกีฬาโดยแท้จริง ที่จะได้ครองถ้วนพระราชทานนี้

      นักกีฬาแต่ละคนจึงต้องทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่ในรายการแข่งขันนี้ ซึ่งจัดการแข่งขันที่ MCC Hall เดอะมอลล์บางกะปิระหว่างวันที่ 13 - 18 กันยายน 2554 ซึ่งผลการแข่งขันในรายการนี้ ผู้เขียนเองนั้นในบางรายการก็เป็นไปตามที่ผู้เขียนคาดเดาไว้ว่าใครจะได้แชมป์ แต่ในบางรายการก็สร้างความประหลาดใจเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ชนะในแต่ละประเภทขอรวบรัดสรุปดังนี้


       ประเภทชายคู่ชนะเลิศได้แก่ บดินทร์ อิสสระ และมณีพงศ์ จงจิตร  ที่โชว์ฟอร์มได้สมราคากับตำแหน่งชนะเลิศประเภทชายคู่กีฬามหาวิทยาลัยโลก  ประเทศ จีน  ล่าสุด ซึ่งสามารถเอาชนะ ปฏิพัทธ์ ฉลาดแฉลม และ นิพิธพนธ์ พวงพั่วเพชร ไปอย่างสนุก 

       ประเภทหญิงคู่ ชนะเลิศตกเป็นของนักแบดมินตันมากประสบการณ์อย่าง       กุญชลา วรวิจิตรชัยกุล และ ดวงอนงค์ อรุณเกษร สามารถเอาชนะนักแบดมินตันรุ่นน้องทีมชาติอย่าง เนศรา สมศรี และ สาวิตรี อมิตรพ่าย ซึ่งในฝ่ายหลังนั้นในปัจจุบันเดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การแข่งขันยังต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง

       ประเภทหญิงเดี่ยว "มิ้ง" สลักจิต พลสนะ นักแบดมินตันผู้น้องของบุญศักดิ์ พลสนะ ยังแสดงให้เห็นว่าฝีมือในการเล่นยังมีมารตรฐานดีอยู่เสมอ เมื่อสามารถเอาชนะนักแบดมินตันรุ่นน้องอย่าง ณิชาอร จินดาพล ได้อย่างสูสี 

       ในประเภทคู่ผสมเป็นไปตามคาดเมื่อ ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ และ กุญชลา วรวิจิตรชัยกุล อาศัยฟอร์มการเล่นที่เข้าขากันเป็นอย่างดี และประสบการณ์ในการแข่งขันที่มีมากกว่า เบียดเอาชนะคู่ของ        มณีพงศ์ จงจิตร และ สาวิตรี อมิตรพ่าย ซึ่งในเกมที่สาม ทั้งทรงพลและกุญชลาได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและประสบการณ์ที่มากกว่าเอาชนะได้อย่างขาดลอย

       ซึ่งผิดคาดสำหรับผู้เขียนในประเภทชายเดี่ยว ซึ่งสัพพัญญู อวิหิงสานนท์ นักแบดมินตันซึ่งคว้าเหรียญทองในกีฬามหาวิทยาลัยโลกครั้งล่าสุดที่ประเทศจีน สามารถเค้นฟอร์มเก่งเอาชนะนักแบดขวัญใจมหาชน "ซูเปอร์แมน" บุญศักดิ์      พลสนะ ไปอย่างสนุก 2 - 1 เกม สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ทั้งสนามในวันนั้น ซึ่งผิดคาดกับฟอร์มในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่สามารถเบียดเอาชนะ            นักแบดมินตันรุ่นน้ิองอย่าง "เจ้าเพชร" โฆษิต เพชรประดับ ในชนิดที่เรียกว่า      หืดขึ้นคอ

       ในรายการนี้ก็เหมือนเช่นทุกที ผมได้เป็นกรรมการตัดสินในรายการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้านับความอาวุโสของผู้ตัดสินแล้ว ผมถือเป็นน้องเล็กที่สุดในการตัดสินรายการนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ที่ได้รับเกียรติในการปฏิบัติหน้าที่ตัดสินในรายการสำคัญของประเทศไทย ซึ่งรายการนี้นอกจากได้รับประสบการณ์จากการตัดสิน ในเรื่องของการแข่งขันผมก็ติดตามผลการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ได้มีโอกาสได้ดูนักกีฬาที่มากประสบการณ์ หรือเด็กที่กำลังฝึกฝนประสบการณ์ที่จะเป็นกำลังหลักสำคัญของชาติในอนาคต ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้ผมอยู่หลายประเด็น จึงขอเลาะขอบสนามแบดมินตันดังนี้ครับ

ณัฐพล  สารวัลย์ (ซ้ายสุด)
       สิ่งแรกที่ผมค่อนข้างประหลาดใจก็คือ ชายที่ชื่อว่า ณัฐพล สารวัลย์ ในวัยเลข 3 เข้าไปแล้ว (จำไม่ได้ว่าอายุพี่เขาเท่าไหร่ แต่น่าจะ 35)  ซึ่งในรายการนี้เขาสามารถปราบเด็กนักกีฬาวัยรุ่นได้ถึง 3 คนด้วยกัน เริ่มจาก อภิสิทธิ์ แซ่เตียว จาก สิงห์ เอช เอช , บุญยกร ธรรมพานิชวงศ์ จากเคซี , และ นนท์ปกรณ์ นันทธีโร จากบ้านทองหยอด ซึ่งนักกีฬาเยาวชนเหล่านี้ ถือเป็นมืออันดับต้นๆอยู่ในรุ่นเยาวชนทั้งสิ้น ด้วยสไตล์การเล่นที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อนเข้าทำคะแนน เล่นอย่างใจเย็นสุขุมและประสบการณ์ที่มากกว่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้สามารถเบียดเอาชนะนักกีฬาเ้หล่านี้ไปได้ เพราะนักแบดมินตันวัยรุ่นมีความใจร้อนเป็นปกตินิสัยอยู่แล้ว เมื่อเจอคนที่มีประสบการณ์มากกว่าทำให้การเล่นของตัวเองเกิดความผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ........... แต่ท้ายที่สุดแล้วในรอบ 16 คน ณัฐพล สารวัลย์ ก็ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของแชมป์ในรายการนี้อย่าง สัพพัญญู อวิหิงสานนท์ ไปได้

             ซึ่งนี้ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า........อายุไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเล่นกีฬาชนิดนี้จริงๆแล้วตัวผู้เขียนจะรอดูและติดตามผลงานของชายที่ชื่อว่า ณัฐพล  สารวัลย์ต่อไป ครับ


สุจิตรา เอกมงคลไพศาล (ซ้าย)
       อีกคนหนึ่งที่ตัวผู้เขียนยังทึ่งในความสามารถของเธออีกเช่นกันคือ พี่ตา หรือ สุจิตรา เอกมงคลไพศาล เธอคนนี้เคยสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้กับคนไทยเมื่อในอดีต จากการเป็นนักแบดมินตันทีมชาติไทย ที่ต้องลงแข่งขันกีฬาซีเกมส์ทั้งๆที่ยังมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่า จนมาทุกวันนี้แม้อาการบาดเจ็บจะไม่มีทางหายได้อย่างสนิท แต่ก็ยังมีดีพอที่จะลงแข่งขันต่อได้ในประเภทคู่จนทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแต่ก็ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผู้เขียนให้ความสำคัญและขอยกย่องในฝีมือมา ณ ที่นี้

       ข้ามฟากมาดูที่เด็กในรุ่นเยาวชนกันบ้างมีนักกีฬาอยู่ 2 คนที่ผมค่อนข้างสนใจและรอติดตามผลงานอยู่ ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นนักกีฬาที่ฝึกซ้อมในสังกัดเยาวชน SCG Academy นั่นเอง ซึ่งในช่วงที่ทั้งสองคนนี้เข้าฝึกซ้อมในสังกัด SCG นี้ สังเกตุได้ว่า สามารถพัฒนาฟอร์มการเล่นได้ดีขึ้นอย่างเป็นลำดับขึ้นมาเรื่อย
โฆษิต เพชรประดับ 

       คนแรกเป็นนักกีฬาที่ก่อนจะเข้ามาอยู่ค่ายเยาวชน SCG เคยเป็นนักแบดมินตันสโมสรเชียงใหม่มาก่อน เป็นนักกีฬาที่มีความแข็งแรงมาก แม้จะตัวเล็กถ้าเทียบกับเด็กในอายุไล่เลี่ยกัน สไตล์การเล่นมีเกมการเล่นที่เหนียวแน่นทั้งเกมรับและเกมรุก สร้างผลงานในรายการนี้จากการเอาชนะ นักแบดมินตันรุ่นพี่อย่าง ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ในรอบก่อนรองชนะเลิศได้อย่างสูสี ซึ่งในการแข่งขันแมตท์นั้นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นในตัวเด็กคนนี้ได้เลยว่า เขาพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ในอนาคตได้อย่างสบาย 
สิทธิคม ธรรมศิลป์

       นักกีฬาอีกคนหนึ่งที่ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เริ่มตัดสินแบดมินตันใหม่ๆ ตั้งแต่เด็กคนนี้ยังเล่นอยู่ในรุ่น 13 ปี  (ที่รู้จักดีเพราะเวลาไปตัดสินแบดมินตันตามสนามอื่นหรือต่างจังหวัด แม่ของเด็กคนนี้จะไปขายก๋วยเตี๋ยวเป็นประจำ ซึ่งลูกชิ้นร้านแม่เค้าอร่อยมาก ^^) ซึ่งในปัจจุบัน ตัวน้องคนนี้ก็น่าจะอายุประมาณ 16 ปี ในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวตกรอบ 16 คนสุดท้าย เพราะไปแพ้ให้กับภควัฒน์  วิไลลักษณ์ไปอย่างสนุก ศึ่วน้องเค้ามีสไตล์ในการเล่นที่ต่างไปจากโฆษิต เพชรประดับ คือชอบเล่นเกมบุกมากกว่า ทำให้รูปแบบการเล่นบางครั้งไม่มีความแน่นอน และยังติดเล่นมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นเพราะด้วยวัยในระดับนี้สมาธิในการแข่งขันจึคงยังมีไม่เพียงพอเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ก็เป็นได้ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งเวลาและประสบการณ์จากการแข่งขันต่อไป 

       และนี่ก็เป็นการเลาะขอบสนามแบดมินตันอีกครั้งหนึ่งของผู้เขียน เป็นทั้งการรายงานสรุปผลการแข่งและการให้ข้อมูลแนะนำนักกีฬาที่เด่นๆในแต่ละรายการ ซึ่งรายการต่อไปจะเป็นที่ใดโปรดติดตามตอนในโอกาสหน้า 

ขอบคุณที่ติดตามครับ ^__^



 

10 กันยายน 2554

สรุปเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย

ปริญญานิพนธ์
เรื่อง
การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้าในนักวิ่งระยะ 1,500 เมตร
นายโรม  วงศ์ประเสริฐ
พลศึกษา คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



1. มีหลักการและขั้นตอนในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร

          สื่อเละเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาและวิจัยในครั้งนี้คือ การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้าในนักวิ่ง ซึ่งโปรแกรมการฝึกนี้ได้มีผู้ริเริ่มแนวคิดและทฤษฎีสำหรับการพัฒนาการฝึกกีฬามาอยู่ก่อนบ้างแล้ว ผู้วิจัยเองนั้นได้นำแนวคิด หลักการและทฤษฎีมาปรับใช้ให้เข้ากับกีฬาที่เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นคือกีฬากรีฑา โดยทำการทดสอบโดยแบ่งกระบวนการวิจัยเชิงทดลองออกเป็น 3 กระบวนการดังนี้
          1.1 กระบวนการทดลองระยะที่ 1 ใช้ระยะเวลา 3 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือนักกรีฑาทั้งชายและหญิงจำนวน 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มๆละ 20 คนแล้วทำการฝึกแยกกลุ่ม
      - โปรแกรมการฝึกต่ำกว่าระดับจุดเริ่มล้า (90 % ของอัตราการเต้นของหัวใจที่ระดับจุดเริ่มล้า)  20 คน
      - โปรแกรมการฝึกในระดับจุดเริ่มล้า 20 คน(100%ของอัตราการเต้นของหัวใยจที่ระดับจุดเริ่มล้า)
      - โปรแกรมการฝึก
ระดับสูงกว่าจุดเริ่มล้า (110%ของอัตราการเต้นของหัวใจที่ระดับจุดเริ่มล้า) 20 คน
แล้วเปรียบเทียบดูทั้ง 3 กลุ่มตัวอย่างว่ากลุ่มใดมีระดับของผลที่มีมากต่อการพัฒนาจุดเริ่มล้ามากที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการทดลองกับกลุ่มนักกีฬาที่ต้องการความเข้มข้นของการฝึกสูงขึ้น
          1.2 กระบวนการทดลองระยะที่ 2 ระยะเวลา 3 เดือน เป็นการนำโปรแกรมที่วิจัยแล้วว่าเกิดผลดีที่สุดมาใช้กับการฝึกกลุ่มนักกีฬากรีฑาประเภทวิ่ง 1,500 เมตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการจะศึกษาจำนวน 16 คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ประกอบไปด้วย
          - โปรแกรมการฝึกในระยะทั่วไป (General Phase) 3 สัปดาห์
          - โปรแกรมการฝึกในระยะเฉพาะ (Specific Phase) 7 สัปดาห์
          - โปรแกรมการฝึกในระยะการแข่งขัน (Competition Phase) 2 สัปดาห์
          1.3 กระบวนการศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) ซึ่งในกระบวนการนี้เป็นกระบวนการศึกษาร่วมกับกระบวนการทดลองระยะที่ 2 โดยเฉพาะกับนักกีฬาทีมชาติไทย ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนาระยะทาง 1,500 เมตร เพื่อนำไปสู่พัฒนาการระยะ 5,000 เมตร ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ปี 2003
          ซึ่งแนวคิด หลักการ และทฤษฎีในการศึกษาตลอดจนถูกออกแบบมาเป็นโปรแกรมการฝึกในรูปแบบต่างๆนั้นเกิดมาจากความต้องการในการพัฒนาวิทยาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการฝึกกีฬา ต้องการให้นักกีฬามีความสามารถเฉพาะต่อกีฬาที่เล่นมากยิ่งขึ้น โปรแกรมการฝึกจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกีฬาให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุผล และสามารถตรวจสอบหรือทดสอบได้ได้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างแพร่หลายได้ ซึ่งการพัฒนาโปรแกรมการฝึกนี้เกิดขึ้นจากตัวผู้วิจัยที่ต้องการศึกษาในการพัฒนาความแข็งแรง ความอดทนของร่างกายในการวิ่งที่มากขึ้นในการวิ่งระยะทาง 1,500 เมตร ซึ่งการวิ่งระยะทางที่มากขึ้นย่อมที่จะเกิดความล้าที่เพิ่มมากขึ้นในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งถ้าเราไม่มีสมรรถภาพทางกายที่ดีพอ ความล้าในร่างกายอาจถูกกำหนดเป็นตัวชี้วัดในการแข่งขันนี้ได้ เมื่อรวมกับการได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา หรือการแพทย์ ให้คำแนะนำในโปรแกรมการฝึก ยิ่งทำให้งานวิจัยนี้ดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็ถูกพัฒนามาเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างนั่นเอง
 2. มีหลักในการประเมินสู่เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
          ในการวิจัยครั้งนี้เนื่องจากการทดสอบบางชนิดเป็นการทดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องเคมีทางการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายชนิด ในเรื่องของการวัดค่ากรดแลคติคในการแสเลือด หรือแม้แต่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการวิจัยบางตัวมีราคาสูงมาก ซึ่งผู้วิจัยเองก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยเหลือเก็บข้อมูลทางการวิจัย เช่นการเจาะเลือดเพื่ออ่านค่ากรดแลคติคในกระแสเลือด หรืออุปกรณ์ช่วยวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งสามารถรู้อัตราการเต้นของหัวใจในขณะฝึกได้เป็นอย่างดีตลอดช่วงการทดลอง หรือแม้แต่ในโปรแกรมการฝึกกรีฑาที่จะถูกนำมาปรับใช้ในการฝึกซ้อมกีฬากรีฑานี้เอง ก็ยังต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านกรีฑา หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามาให้คำแนะนำในการออกแบบโปรแกรมการฝึก หรือการนำวิธีการพัฒนาโปรแกรมการฝึกกีฬาไปสู่การฝึกซ้อมกีฬาในชนิดและสาขานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในการฝึกนั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยังมีกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษา (Case Study) ที่จะต้องเตรียมตัวเข้าสู่การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ เพราะฉะนั้น การฝึกของนักกีฬากลุ่มดังกล่าวจะต้องมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ผลการแข่งขันออกมาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
          ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยเป็นแรงเสริมไปสู่การพัฒนาโปรแกรมการฝึกกีฬาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งสิ้น ช่วยปัญหาและเวลาในการใช้เครื่องมือต่างๆ ตลอดจนทำให้งานวิจัยมีความรวดเร็ว สามารถแปรผลจากการฝึกได้เร็ว แม่นยำ และมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น

3. ผลการนำสื่อและเทคโนโลยีการศึกษามาใช้เป็นอย่างไร
          จากการศึกษาวิจัยรวมทั้งหมดแล้วผลปรากฏว่า โปรแกรมการฝึกที่ความหนักของอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าจุดเริ่มล้า สามารถพัฒนาจุดเริ่มล้าได้ดี นั้นก็หมายความว่า ในการฝึกที่ระดับสูงกว่าจุดเริ่มล้านั้น มีผลทำให้เกิดความล้าจากการแข่งขันกีฬาในประเภทกีฬาช้าลง ทำให้นักกีฬามีสถิติการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น แต่งานวิจัยนี้มีข้อที่ควรระวังคือ การพัฒนาโปรแกรมการฝึกนี้ใช้ในกับนักกีฬาที่เข้าแข่งขันระดับประเทศ หรือนักกีฬาเพื่อฝึกเพื่อความเป็นเลิศเท่านั้น ซึ่งในการทดสอบผลการเปลี่ยนแปลงนอกจากจะมีการทดสอบวิ่งตามระยะทางเพื่อหากรดแลคติคจากการวิ่งแล้วนั้น ยังมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายอีกหลายรายการ เพื่อศึกษาถึงผลเปลี่ยนแปลงจากการใช้โปรแกรมการฝึกนี้ ฉะนั้นทั้งนักกีฬาและผู้ฝึกสอนควรศึกษาถึงรายละเอียดในการฝึกให้ดีก่อนนำไปใช้ และให้เกิดการพัฒนาของนักกีฬาจนเองให้มากที่สุด
          การพัฒนาโปรแกรมการฝึกชนิดเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้านับได้ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการพัฒนานักกีฬาระดับเพื่อความเป็นเลิศ เพราะนอกจากจะเป็นการพัฒนาเพื่อนักกีฬาไทยโดยเฉพาะแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกสอนกีฬาชนิดอื่น ในการนำโปรแกรมพัฒนานี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับนักกีฬาของตนเองเพื่อให้เกิดศักยภาพในการเล่นกีฬาอย่างสูงสุด

8 สิงหาคม 2554

ออฟฟิศ....จิตป่วน ^^


       สิ่งพนักงานหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ.....ที่นอกจากจะเหนื่อยกับการทำงานอย่างหนักหน่วง ต้องรับมือกับความกดดันต่อภารกิจหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ แล้วนั้น

       ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่า...บางทีอาจจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในตัวมันเองก็เป็นได้ (ซึ่งบางสำนักงานอาจจะเจออย่างที่ทำงานผมทำอยู่ก็เป็นได้ครับ) นั้นก็คือ.......

การเสนอขายสินค้าขายตรงต่างๆ.......ที่นำมาเสนอสินค้าให้ท่านถึงสำนักงาน !!

       สำหรับตัวผมเองแล้วนั้น การขายสินค้าตรงลักษณะเช่นนี้ ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับงานนี้ครับ......เพราะผมถือว่าเป็นงานที่สุจริต...ไม่ใช่งานที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมของไทย......เมื่อมีใครมาเสนอขายของ หรือให้ทดลองสินค้า ที่ำทำงานผมก็มักจะเปิดโอกาสให้พนักงานขายเหล่านี้ ได้มาขายสินค้าได้ตามปกติ................แต่ต้องอยู่ในขอบเขต...ไม่ขายในขณะเวลาที่เรากำลังทำงานยุ่งกันอยู่

       ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ...ที่บางทีไม่ค่อยจะใส่ใจกับสินค้าอะไรมาก (ยกเว้นป้าขายขนมไทยหาบเร่  ถ้าแกผ่านมาแถวนี้เมื่อไหร่......ถึงแกจะไม่แวะเข้ามาที่สำนักงาน แต่ถ้าผมเห็นก็จะวิ่งไปซื้อกับแกทันที ^^) ถ้าสินค้าบางตัวไม่ได้อยู่ในพื้นฐานความสนใจของเรา.........เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจกับสินค้าที่มาขายตรงต่อเราเท่าที่ควร ผมชอบที่จะเดินเข้าไปเลือกสินค้า ใช้เวลาพิจารณาสินค้ามากกว่านั้นเอง

ที่สำนักงานที่ผมทำงานอยู่นั้นตั้งอยู่ภายในเขตสนามกีฬาจังหวัดลพบุรี...ซึ่งถัดออกไปในบริเวณเหล่านี้ เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดลพบุรี มีทั้งหน่วยงานราชการทั้งของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครอง ที่ว่าการอำเภอ หรือที่ทำการกระทรวง สำนักงานต่างๆ หรือของภาคเอกชน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณแถวนี้แทบทั้งสิ้น  ซึ่งดูแล้วเปรียบเสมือนเป็นทำเลทองในการนำเสนอสินค้าได้เป็นอย่างดี
         ถ้าจะพูดถึงประเภทของสินค้าที่นำมาขายโดยทั่วไป ก็มีอย่างของที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวออฟฟิศ......คือ ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล 555  โดยเฉพาะช่วงก่อนวันหวยออกด้วยแล้วนั้น จะมีบรรดาหนุ่มน้อยสาวใหญ่จากออฟฟิศต่างแห่กันไปมุงดูตามแผงไปหมดครับ...........หรือไม่ก็จะเป็นพวกขายผลิตภัณฑ์ต่างๆสารพัดที่จะหาได้

        ในสำนักงานของผมนั้นก็เป็นอีกที่่ซึ่งไม่รอดจากการนำเสนอขายสินค้าอยู่แล้ว  เช่นการเสนอขายผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดโซฟา และเครื่องหนัง...ซึงพนักงานได้เสนอขายโดยการทดลองเทน้ำยาลงบนโซฟาของสำนักงานเล็กน้อยลงไป....ซึ่งมันได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ แต่ด้วยราคาซึ่งแพงบรมถึงขวดละ 3,xxx บาท พี่ที่สำนักงานจึงไม่มีใครคิดซื้อ.....แล้วพนักงานก็จากไปแต่สิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้คือ........
ความแตกต่างระหว่างรอยที่สะอาด   กับรอยคราบสกปรกซึ่งมันแตกต่างกันชัดมาก
แล้วใครจะขัดออกหล่ะทีนี้ T^T
ใครก็ได้...มาขัดให้ทีครับ T^T

       บางครั้งก็มีน้องๆที่ทำงานชมรมหรือองค์กรอาสาต่างๆมาขอรับการสนับสนุนในการออกค่ายพัฒนาชนบท...ซึ่งสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย...ถึงผมจะไม่ค่อยได้ออกค่ายมากนัก แต่ก็มักจะยินดีที่จะช่วยเหลือโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว......อย่างล่าสุดมีน้องจากชมรมอะไรซักอย่างมาขอให้ช่วยสนับสนุนในการไปออกค่ายเพื่อนำรายได้ไปช่วยสร้างห้องน้ำให้กับโรงเรียนชาวเขา....................แม้ในใจจะสงสัยกับแนวคิดของน้องๆเค้า บวกกับความสงสัยในตัวเองว่า........
โรงเรียนเหล่านี้ไม่มีห้องน้ำมาก่อนรึไงนะ ??? 
มัวแต่เอาเงินไปสร้างอาคารจนลืมสร้างห้องน้ำรึไงนะ??
ไปซื้อจอบให้โรงเรียนแล้วไปขุดหาที่เอาเองก็ได้มั้ง???

แต่ผมก็ยินดีช่วยเหลือกับชมรมนี้ไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก (นอกจากความคิดอุตริในหัว ^^) ในราคา100 .....ซึ่งได้ของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจรูปช้าง ซึ่งตอนหลังผมเรียกเจ้าพวงกุญแจนี้ว่้า
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ...เนื่องจากใช้ได้ไม่ถึง 1 วัน มันก็ขาด......ซะงั้น !!
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ ซึ่งหูพวงกุญแจมันขาดไปแล้ว  ไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรต่อ

        แต่การนำเสนอสินค้าที่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่าที่ผ่านมามากที่สุด......คือการนำเสนอขายพนักพิงเบาะนวดไฟฟ้า ซึ่งพนักงานได้เสนอขายให้กับพี่ที่ทำงานอีกคนหนึ่งพร้อมแจกเอกสารแนะนำสรรพคุณของเครื่องนวดว่าดีอย่างไร........ตัวผมซึ่งจบมาทางด้านพลศึกษาและผ่านการทำงานฟิตเนสมาครับ ทำให้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร....แล้วพอมองสินค้าแปปเดียวผมก็รู้แล้วครับว่าสินค้ายังมีจุดอ่อนอีกเยอะ  แต่ด้วยความเกรงใจและไม่อยากไปขัดการทำงานกับเค้า...ผมจึงเลือกที่จะนั่งทำงานประจำของผมต่อไป  แต่หูก็แอบฟังการนำเสนอของเค้าไปเรื่อยอย่างตั้งใจ
หน้าตาของเครื่องที่ว่าประมาณนี้ครับ

        และผมก็มาสะดุดกับการนำเสนอสินค้าประโยคหนึ่งที่ว่า
"เมื่อเทียบกับการนวดแผนไทยที่ต้องเสียเวลาไปนวดแผนไทยคราวละหลายชั่วโมงแล้ว...เครื่องนี้สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ภายในเวลาไม่กีนาที  และค่าใช้จ่ายเมื่อเฉลี่ยแล้วตกอยู่เพียงแค่วันละ 16 บาท ต่อปี" ในใจผมคิดทันทีว่า "กะแล้วว่าต้องมาลูกไม้นี้".......ใครมันจะบ้านวดกันได้ทุกวี่ทุกวันครับ

        เพียงเท่านั้นแหล่ะครับ...ผมหมดความอดทนทันที  พร้อมกับเดินเข้าไปหาพนักงานพร้อมสอบถาม
ผม :       พี่ครับ.....เครื่องที่ว่านี้โครงสร้างของเครื่องและลูกกลิ้งที่ใช้นวดข้างใน จะรู้ได้ไงว่ามันพอดีกับขนาดตัวของแต่ละคน ??
พนักงาน : ถ้าน้องอยากรู้ต้องลองดูแล้วหล่ะ....ว่ามันพอดีกับขนาดตัวของน้องมั้ย??

พี่แกพลาดแล้วครับ ! เพราะคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่เป็นจุดอ่อนของพนักพิง หรือเครื่องนวดไฟฟ้าทั่วโลกอยู่แล้วครับ คือ.....ขนาดตัวของคนยุโรป คนเอเชีย ผู้ชายหรือผู้หญิง หรือแม้แต่นักกีฬาหรือเป็นคนธรรมดา ย่อมมีขนาดร่างกายก็ต่างกันอยู่แล้ว....แล้วขนาดของเครื่อง กับ ขนาดของลูกกลิ้งก็มีผลต่อการนวดเหมือนกันครับ.....ผมเคยนวดเครื่องนวดไฟฟ้าที่เป็นเครื่องของคนยุโรป ปรากฎว่าลูกกลิ้งข้างในมันหมุนบดถึงกระดูกสันหลังเลยครับ......แทบจะไม่โดนเส้นเลย......เจ็บมาก !!!
นี่พี่แกเล่นจะขายของอย่างเดียวเลยรึไงนะ??

แต่ผมก็ยังเก็บอาการแล้วยิงคำถามต่อ
ผม : แล้วความหนักในการกดของลูกกลิ้งนี้.......มีแบ่งความเบาหนักในการกดต่างกันมากหรือไม่ครับ??
พนักงาน: ด้วยฟังก์ชั่นในการกดมีความหนักเพียงพออยู่แล้วครับ ^^

ก็พลาดอีกนั่นแหล่ะ !..เพราะร่างกายแต่ละคนรองรับความหนักในการกดได้แตกต่างกันครับ.....ถึงแม้เครื่องจะมีฟังก์ชั่นเพิ่มความหนักเบาในการกดก็จริง แต่ก็อาจไม่พอกับความต้องการในการกดก็ได้ครับ เพราะผมเคยนวดคนที่เส้นอยู่ลึกมากๆ แทบจะต้องใช้แีรงทั้งตัวในการกด เขาถึงจะรู้สึก

        เท่านั้นแหล่ะครับ.......ผมไม่พูดอะไรแต่ผมเดินออกมาเลย.....เพื่อส่งสัญญาณเป็นนัยให้กับพี่อีกคนว่า...มันไม่เวิร์คหรอกครับพี่ ! ซึ่งเค้าก็พอจะเข้าใจความหมายของเราได้.........สุดท้ายพี่เค้าก็ไม่ได้ซื้อจริงๆครับ ^^

        ที่ผมทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมไปขัดขวางไม่ให้พนักงานได้ขายของนะครับ....แต่สินค้าถ้ามันมีจุดอ่อนและมันไม่ครอบคลุมกับความต้องการการใช้งานของเราจริงๆ  จะไปทนซื้อมาใช้ให้หงุดหงิดทำไมครับ?? เชื่อผมเถอะว่ายอมเสียเงิน...เสียเวลามากขึ้น ไปนวดตามร้านนวดแผนโบราณดีกว่าครับ.......ให้หมอนวดได้จับเส้นและช่วยนวดแก้อาหารต่างๆดีกว่าครับ
        การนวดถือเป็นศาสตร์โบราณอย่างหนึ่ง......ที่คนไทยเราสามารถคิดค้นรวมถึงรับเอาวิทยาการมาจากชาติอื่นๆผสมผสานออกมาจนเป็นที่ยอมรับและนิยมใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นพันๆปีแล้วครับ......แน่นอนว่าการนวดเพื่อรักษาอาการต่างๆย่อมดีกว่าการใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างแน่นอนครับ ซึ่งแม้ว่าเครื่องนวดไฟฟ้าจะสามารถลดเวลาและสะดวกในการใช้กว่า การเดินทางไปร้านนวดแผนโบราณ หรือการให้ผู้อื่นมานวดให้.........แต่ร่างกายของเรา  มีเพียงร่างเดียวนะครับ ไม่ใช่ว่าเสียแล้วจะไปซ่อมกันได้ง่ายๆ การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกาย มีประโยชน์และสุขภาพดีย่อมเป็นสิ่งจำเป็นครับ


นวดโดยเครื่อง......มันจะดีกว่านวดโดยคนได้อย่างไร  จริงมั้ยครับ ^___^







       









3 สิงหาคม 2554

ค่านิยมกีฬามวยไทย.......ของชาวต่างชาติ


       กีฬามวยไทยนั้น ถ้าเทียบกันในเรื่องของค่านิยมของคนไทยเองนั้น เทียบไม่ได้เลยครับกับชาวต่างชาติ ช่วงหลายปีให้หลังมานี้......มีชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา ลงทุนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล.....เพื่อที่จะมาฝึกเรียนมวยไทย...ที่เมืองไทย   เมืองซึ่งเป็นต้นตำรับของมวยไทย ศิลปะต่อสู้ที่มีพิษสงรอบตัว

       กีฬามวยไทยนั้นอย่างที่ได้เคยเรียนให้ทราบไปว่า เป็นการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเทียบกันด้วยน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ ในสมัยก่อน ชาวต่างชาติทั้งทางฝั่งยุโรป และฝั่งเอเชีย เคยมีการประลองการแข่งขัน โดยการนำการต่อสู้ประจำชาติของแต่ละที่มาแข่งขันกัน เพื่อหาที่สุดของที่สุดในศิลปะป้องกันตัวที่มนุษยชาติได้คิดค้นขึ้นมา กีฬามวยไทยก็เป็นอีกศิลปะหนึ่งที่ถูกเชิญให้ไปร่วมประลองในหลายๆรายการ แข่งขันกับศิลปะประจำชาติอื่น อาทิ คาราเต้ มวยปล้ำ 
เทควันโด นักมวยของไทยที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยเองหลายคน เลือกที่จะต่อสู้ในสังเวียนที่แปลกแตกต่างออกไปในต่างชาติ ส่วนหนึ่งอันเนื่องมากจาก ค่าตัวที่ต่างชาติจ้างไปนั้น มีราคาสูงมากถ้าเทียบกับการต่อยมวยในเวทีสำคัญๆต่างๆในเมืองไทย ช่วงสิบกว่าปีที่แล้วนักมวยที่ชื่อที่เราคุ้นหู และลงแข่งมากที่สุดคือ น้องตุ้ม หรือ ปริญญา เจริญผล สาวประเภทสองที่เดินทางไปหลายประเทศเพื่อแข่งขันกับนักสู้ต่างประเทศ
ปริญญา เจริญผล  หรือ น้องตุ้ม

       



       ซึ่งในหลายๆเวทีที่นักมวยไทยได้ขึ้นสังเวียนต่อสู้กับนักสู้ต่างชาติ นักมวยไทยเหล่านี้ได้แสดงถึงฝีไม้ลายมือ ให้ชาวต่างชาติเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาว่า.........เมืองไทยมีของดีอยู่  ทำให้หลายๆชาติเริ่มที่จะเลียนแบบกีฬามวยไทย  ดังจะเห็นได้จาก ในแถบยุโรปมีกีฬาที่ชื่อว่า Ultimate Fighting ซึ่งมีรูปการแข่งขันที่คล้ายคลึงกับมวยไทย แต่มีการผสมผสานของการต่อสู่ชนิดอื่นเข้าไปหลากหลายชนิด ประกอบกับการใช้กติกาซึ่งค่อนข้างแปลก เพราะนักสู้ต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆไม่ว่าวิธีการใดๆก็ได้ จนกว่าคู่ต่อสู่จะยอมแพ้ หรือหมดเวลาการแข่งขัน
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะล้มไปแล้ว..ก็ยังสามารถตามไปซ้ำต่อได้


การต่อสู้ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว

ถึงแม้จะมีเลือดตกยางออกเท่าใด......ก็จะไม่มีการหยุดเล่นจนกว่าเวลาจะหมดหรือขอยอมแพ้
       เมื่อหลายปีก่อน มีเสี่ยเจ้าของค่ายมวยชื่อดังในประเทศไทย ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์การแข่งขัน Ultimate Fighting เข้ามาแข่งขันในประเทศไทย....แต่ถูกคณะกรรมการกีฬามวยไทย และการกีฬาแห่งประเทศไทย คัดค้าน ด้วยเหตุผลคือ.......เป็นกีฬาที่มีความโหดร้าย ทารุณ และไม่เหมาะสมที่จะนำมาเผยเเพร่ในประเทศไทย........ซึ่งตัวผมเองเห็นด้วยกับการคัดค้านนี้นะครับ

       จุดมุ่งหมายของกีฬามวยไทย......มีไว้เพื่อป้องกันตัว.......มิใช่มีเพื่อไว้ทำลายหรือเบียดเบียนใคร รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ฝึกความอดทน มีความเป็นสุภาพบุรุษ และให้เกียรติต่อคู่ต่อสู้และคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษมากว่า 1,000 ปี ซึ่งกีฬา Ultimate Fighting เป็นกีฬาที่ขัดต่อ วัฒนธรรมและประเพณีของชาติไทยเรา จึงไม่มีการเผยแพร่มากนัก แต่ก็มักจะมีการถ่ายทอดเทปบันทึกการแข่งขันทางช่องเคเบิลต่้างๆ ซึ่งก็ถือเป็นการเผยแพร่กีฬาให้ได้รู้จักอีกชนิดหนึ่ง


       ข้ามมาทางฝั่งประเทศญี่ปุ่น...ซึ่งประเทศนี้มีความคลั่งไคล้หลงไหลในศิลปะการต่อสู้เป็นอย่างมาก มวยไทยก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่ ชาวญี่ปุ่นมีความนิยมเป็นอย่างมาก มีการจ้างโค้ชมวยจากเมืองไทย เปิดเป็นโรงเรียนและทำการฝึกสอนอย่างเป็นระบบ........โค้ชและนักมวยชาวไทยจึงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นคนล่อเป้า.....และคู่ซ้อมให้กับชาวญี่ปุ่น  ในช่วงแรกญี่ปุ่นผลิตนักมวยและแข่งขันกันเอง

       แต่ในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันโดยใช้ชื่อว่า
 K - 1 Grang Prix ซึ่งจริงแล้วก็ไม่ได้มีแต่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่สนใจในกีฬาชนิดนี้ ในปัจจุบัน ประเทศในแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีโครงกวนความร่วมมือจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการจัดตั้งศูนย์ฝึกกีฬามวยในประเทศนั้นๆ ส่งผู้ฝึกสอน และคู่ซ้อมส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นช่องทางทำให้กีฬามวยไทยได้รับความนิยมมากขึ้น


       ในการแข่งขัน K - 1 Grand Prix นั้น ทางญี่ปุ่นได้เชิญชาวต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันด้วย ซึ่งจะขาดไม่ได้เลยสำหรับกีฬานี้ ถ้าจะไม่เชิญเจ้าของต้นตำรับของกีฬาชนิดนี้อย่างประเทศไทยเราเข้าร่วมแข่งด้วย
ฉายาในวงการมวยของเขาคือ บัวขาว ป.ประมุข เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์โดยกำเนิด โดยบัวขาวเข้าร่วมการแข่งขัน  K -1 ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2547 ได้แชมป์บ้าง และพลาดท่าแพ้บ้าง ต่างกันไป............แต่สิ่งที่บัวขาวได้ทิ้งไว้ให้กับชาวต่างชาติได้เห็นคือ ลีลาแม่ไม้มวยไทย อันเป็นที่น่าเกรงขามอย่างมาก ทุ่ม ทับ จับ หัก และเหลี่ยมเชิงมวย...เป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติไม่สามารถเลียนแบบได้......หลายครั้งที่ผมได้ดูการชกของบัวขาว.......มันทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า.......ประเทศเรามีของล้ำค่ามากขนาดนี้  ทำไมเราถึงไม่เคยคิดที่จะใส่ใจกับมันเลย.....

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก...ที่เป็นคนไทยแท้ๆแต่ปล่อยให้ชาวต่างชาติคลั่งไคล้กับศิลปะของชาติไทยมากขนาดนี้ (บางทีก็น่าอายนะครับ ^^)



       หลังจากที่ปล่อยให้ชาวต่างชาติเพลิดเพลินกับศิลปะประจำชาติอยู่พักใหญ่......ในที่สุดวงการกีฬามวยไทยก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อให้กีฬามวยไทยมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยการนำกฎกติกามวยไทยที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป จัดเป็นการแข่งขันโดยใช้ชื่อว่า Thai Fight แต่ลดจำนวนยกในการแข่งขันจากเดิม
ชกกัน 5 ยก  ให้เหลือเพียง 3 ยก เพื่อความสนุกและเร้าใจในการเล่นมากยิ่งขึ้น

       ซึ่งรายการนี้มีการเชิญชาวต่างชาติเข้ามาแข่งขันด้วย....ซึ่งนักมวยต่างชาติที่เข้ามาแข่งขันก็มาจากนักมวยที่อยู่ในศูนย์ฝึกที่การกีฬาแห่งประเทศไทย.....จัดให้มีศูนย์ฝึกตามประเทศต่างๆนั่นเอง ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่ 2 แล้วที่มีการแข่งขัน Thai Fight โดยในปีนี้มีนักมวยจากชาติต่างๆเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่ง จีน ไต้หวัน บราซิล ที่มีศิลปะการต่อสู้ของชนชาติเค้าอยู่แล้ว....ก็ยังมีกลุ่มคนที่สนใจในการต่อสู้มวยไทยอยู่มากมายขนาดนี้

       รายการ Thai Fight ในปัจจุบัน ได้ทำการขยายความนิยมให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการจัดการแข่งขันในต่างประเทศ อย่างรายการที่ผ่านมาเดือนมิถุนายน ไปจัดการแข่งขันที่ไต้หวัน...ซึ่งได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่าง มีการถ่ายทอดสดทางทีวี...และยอดมวยจาก K - 1 ส่วนใหญ่ก็ได้รับคำเชิญมาร่วมแข่งขันด้วย



นับเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้วครับ.....ที่คนทั่วโลกเริ่มหันมามองประเทศเล็กๆอย่างเรา  ซึ่งนอกจากเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยว และพักผ่อนที่มีความอุดมสมบูรณ์มากอยู่แล้ว....เรายังมีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงามที่พร้อมจะเผยสู่สายตาชาวโลก........ถ้าเรามีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งในเรื่องของการจัดการแข่งขันและการเผยแพร่กีฬามวยไทยสู่ความเป็นสากล รับรองได้ครับว่า.....มวยไทย จะเป็นมรดกอันล้ำค่าของเมืองไทย ที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้


จากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่่ง  แต่จะหน้าที่ของคนไทยทุกคน ในการอนุรักษ์ และช่วยกันเผยแพร่กีฬามวย และสืบสานศิลปะการต่อสู้นี้ไป...อย่างน้อยขอแค่ถ้ามีใครถามเกี่บงกับเรื่องมวยแล้วท่านสามารถตอบคำถามได้...ผมคิดว่านั้นก็บรรลุเป้าหมายได้ไม่มากก็น้อยแล้วครับ ^__^






2 สิงหาคม 2554

มรดกไทย มรดกโลก !!


    กีฬามวยไทย เป็นศิลปะป้องกันตัวที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุด เมื่อเทียบน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ !

       ประโยคนี้เมื่อได้ไปฟังครั้งสัมมนาตอนเริ่มมาทำงานที่ กกท.ใหม่ ก็ยังอดนึกขำไม่ได้ ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ?

       สมัยที่เรียนในมหาวิทยาลัย มีการเรียนการสอนที่ผมจะต้องเรียนทั้งมวยไทยและมวยสากล  ซึ่งผู้สอนของผมก็เป็นระดับปรมจารย์ในวงการกีฬามวย มีผู้คนนับหน้าถือตาท่านเยอะ และท่านก็ทำค่ายมวย
ชื่อว่า เดชรัตน์ ส่งแข่งขันในเวทีมวยสำคัญ ทั้งลุมพินี ราชดำเนิน ฯลฯ เชิงมวยของท่านนั้นผมยอมรับว่าไม่เป็นรองใคร

       ในมุมมองของคนไทยเองนั้น ปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่ากีฬามวยไทยไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ครับ....(จากการที่ผมได้เข้ามาคลุกคลีในวงการมาซักระยะ)  เนื่องจากภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่จะมองต่อกีฬานี้ คือเป็นกีฬาที่เล่นแล้วเจ็บตัว เป็นกีฬาที่ไม่สวยงาม ไม่มีอะไรน่าดึงดูด ทำให้บุคลิกภาพเสีย  ผู้ปกครองเด็กจึงเรียกที่จะให้ลูกหลานของตนเองเรียนศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ เช่น

       กีฬาเทควันโดไงครับ........ซึ่งกีฬาชนิดนี้ก็เป็นอย่างที่ทราบดีว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี เป็นกีฬาที่ใช้ความว่องไวและออกอาวุธโดยใช้ปลายเท้าเป็นหลัก....และอีกอย่างคือ  แค่ดูชุดยูนิฟอร์มที่ใช้ซ้อมหรือแข่งขันมันก็ต่างกับกีฬามวยไทยมากอยู่แล้ว  กีฬาเทควันโดใส่ชุดสีขาวแขนยาว ขายาว มีสายคาดเอวที่แบ่งออกตามระดับความสามารถของแต่ละคน ไล่ไปตั้งแต่สายขาว ไปจนถึงสายดำ ............แต่ดูของกีฬามวยไทยสิครับ กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว กลิ่นน้ำมันมวยเหม็นหึ่ง !!! เทียบกันแล้วคงไม่มีใครอยากเล่นหรอกครับกีฬาชนิดนี้

       แต่ผมขอเปรียบเทียบความสามารถของ 2 กีฬานี้ให้ทุกท่านได้ดูนะครับ ว่าอาวุธของกีฬารชนิดใด......น่าเกรงขามมากกว่ากัน
http://www.youtube.com/watch?v=GNzIn1hefaM

       คลิปนี้ผมคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากหรอกนะครับ.......ว่ากีฬาใดมีการออกอาวุธและชั้นเชิงที่อันตรายมากกว่ากัน บางครั้งคนไทยก็ชอบชื่นชมกับศิลปะของต่างชาติมากเกินไป จนหลงลืมไปว่า เมืองไทยเรามีของดี บรรพบุรุษของเราคิดค้นมวยไทยมาเพื่อปกป้องประเทศชาติ จากอริราชศัตรูมากมาย และสิ่งเหล่านี้ก็หลงเหลือตกทอดมาสู่รุ่นของเรา เพื่อเขาหวังว่าจะให้เราคนไทยอนุรักษ์และสืบสานมรดกอันล้ำค่าของเมืองไทยนี้ต่อไป................
มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องถ่ายทอด และสืบสานมรดกนี้ต่อไปครับ ^^


บทความหน้าขอเขียนถึงความสนใจในกีฬามวยไทย....ของชาวต่างชาติ ....ติดตามอ่านด้วยนะครับ ^__^

1 สิงหาคม 2554

MTBP 2011


       แท้จริงแล้วหัวข้อที่ผมจะเขียนควรจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำงานในศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรี แต่ก็มีเหตุอื่นที่จำจะต้องยกไปเขียนในบทความหน้า เนื่องจากมีหัวข้อที่ผู้เขียนเองสนใจมากกว่าจึงขอแทรกเรื่องเข้าไปก่อน

       เมื่อวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2554 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ตัดสินกีฬาแบดมินตันอาชีพแห่งประเทศไทย สนามที่ 3 ณ จังหวัดลำปาง ซึ่งการแข่งขันกีฬาอาชีพนั้นเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในประเทศไทยมีบรรจุกีฬาหลายชนิดเป็นกีฬาอาชีพ ซึ่งกีฬาเหล่านี้จะต้องมีการแข่งขันเพื่อสะสมคะแนนของนักกีฬาในอาชีพ และเปิดโอกาสให้นักกีฬาได้มีโอกาสใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และมีรายได้จากการแข่งขัน.........พูดง่ายๆก็คือต้องการจะทำให้นักกีฬาสามารถหาเลี้ยงชีพตนจากการเป็นนักกีฬาได้มากขึ้นนั่นเอง

       กีฬาแบดมินตันก็เป็นอีกกีฬาหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลนั้นจัดว่าสามารถเป็นกีฬานำไปสู่อาชีพได้ ดังจะเห็นได้จากการที่กีฬาชนิดนี้จัดการแข่งขันภายในประเทศ...ทั้งของภาครัฐและเอกชนรวมกันกว่าปีละ 60 แมตท์ ซึ่งจำนวนรายการนั้นสูงกว่า...จำนวนสัปดาห์ที่มีในรอบปีเสียอีก หรือแม้แต่ในต่างประเทศที่ีใช้การแข่งขันในระดับนานาชาติเพื่อเป็นการคัดเลือกนักกีฬาที่จะได้เข้าไปแข่งขันในกีฬา เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์...โดยวัดจากคะแนนสะสมที่สามารถทำได้ในรอบปี

       สำหรับในประเทศไทยนั้นการแข่งขันแบดมินตันอาชีพเพิ่งจะเริ่มจัดการแข่งขันมาได้เพียง 4 ปีเท่านั้น กระแสตอบรับจากการแข่งขันก็มีมากขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดต่างๆที่เสนอขอจัดการแข่งขันแบดมินตันอาชีพ เพราะไม่เพียงแต่เพื่อต้องการส่งเสริมกิจกรรมของกีฬาแบดมินตันในประเทศไทยแล้ว  ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัด ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยมีการกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก

       โดยในสนามที่ 3 ประจำปี 2554 จังหวัดลำปางได้รับเกียรติจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ให้เป็นเจ้าภาพในสนามนี้ระหว่างวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2554 ในการแข่งขันนี้ได้รับความสนใจจากนักกีฬาฝีมือเยี่ยมจากประเทศไทย อาทิ


พิสิษฐ์ พูดฉลาด จากสโมสรบ้านทองหยอด ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ชายเดี่ยว Youth Olympic ประเทศสิงค์โปร์ คนล่าสุด








       สิทธิชัย วิบูลย์ศิลป์ นักแบดรูปร่างสูงยาว ปราดเปรียว
สังกัดบ้านทองหยอด ได้แชมป์สำคัญๆในประเทศมาหลายรายการ เช่นการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย








 ภควัฒน์  วิไลลักษณ์ นักแบดจอมเก๋าจากสโมสร เคซี







                          ตะวัน  หวนสุริยา นักแบดมือซ้าย.....ที่มีเกมรับที่เหนียวแน่น








บดินทร์  อิสระ  และ มณีพงศ์  จงจิตร สองนักแบดที่มากประสบการณ์ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองคนก็ออกทัวร์ไปแข่งขันในรายการในต่างประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยในอนาคต


สัพพัญญู  อวิหิงสานนท์  นักแบดทีมชาติจาก Royal Star เป็นนักกีฬาประเภทชายเดี่ยวอีกคน ที่มีมือวางอันดับต้นๆของประเทศไทย





และนักแบดมินตันเยาวชนที่มีชื่อเสียงในประเทศอีกมากมายเข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันครั้งนี้


        ส่วนตัวผมเองได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันครั้งนี้ กับผู้ตัดสินอีก 13 คน ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินที่ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ได้เห็นการแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น ถึงแม้นักกีฬาจะเป็นหน้าเดิมๆซึ่งเราได้เคยทำหน้าที่ตัดสินมาแล้ว แต่กับการแข่งขันกีฬาอาชีพ ทุกนัด ทุกการแข่งขัน มันหมายถึงเงินรางวัลและคะแนนสะสมของนักกีฬาที่จะได้ ทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้


     














       แต่สิ่งที่ผมคิดว่าได้จากการแข่งขันครั้งนี้มากที่สุดคือ เราได้เห็นเห็นพัฒนาการของนักกีฬา ถึงผมจะใช้เวลาคลุกคลีในวงการนี้เพียงแค่ 3 ปี แต่ผมเริ่มตัดสินแบดมินตันในรุ่นเยาวชนมาตลอด ทำให้ได้เห็นพัฒนาการและความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เด็กนักกีฬาบางคนมีพรสวรรค์ดี แต่ก็ไม่อาจที่จะประสบความสำเร็จได้  ในฐานะที่ผมเป็นผู้ตัดสิน บางครั้งผมเองยังรู้สึกเสียดายความสามารถของเด็กบางคนที่ความสามารถดี...แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็โรยรา  หรือเลิกแข่งไปเพราะ ต้องให้ความสนใจกับการเรียนหนังสือมากกว่า......แต่แน่นอนครับ   ในเส้นทางสู่การเป็นนักแบดมินตันย่อมมีบางคนที่สะดุด...หรือไปไม่ถึงฝันของตัวเองบ้าง.........แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยคนนี้แน่นอนครับ
ภาพจาก : สยามกีฬา
  
       เด็กน้อยคนนี้ชื่อว่า ด.ญ.ศุภนิดา  เกตุทอง  อายุในปัจจุบันเพียง 14 ปี จากทีม ที ไทยแลนด์ ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เค้าอายุประมาณ 9 ขวบ ถนัดมือซ้าย ตัวเล็กมาก........ถ้าวัดความสูงของเค้า ไม่แบดมินตันก็สูงถึงระดับเอวของน้องเค้าแล้วครับ ^__^  แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กคนนี้ทำให้ผมมักประหลาดใจเสมอคือ ความเร็ว ความอดทน และความฉลาดในการเล่น ซึ่งอย่างหลังนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากน้อยคนนักที่อายุเพียงเท่านี้  จะมีความสามารถในการอ่านเกมของคู่ต่อสู้ได้ดีเช่นนี้
                                                                                                                                                   ซึ่งแน่นอนเพชรที่ดีจะมีสามารถส่องสว่างได้ถ้าหากขาดการขัดเกลา ซึ่งน้องเค้าเป็นนักกีฬาที่ได้รับการฝึกสอนโดย โค้ชอ๋อง หรือ อภิชัย ธีระรัตน์สกุล ซึ่งในอดีต ครูอ๋องเป็นนักกีฬาที่มีฝีมือดีระดับประเทศมาก่อน หลายครั้งที่ผมนั่งดูน้องเค้าแข่งขัน ก็จะมีครูอ๋องคอยแนะนำการเล่นตลอด ซึ่งครูอ๋องจะเป็นโค้ชที่ค่อนข้างดุกับนักกีฬาพอสมควร....แต่เท่าที่เคยฟังเวลาครูอ๋องโค้ชนักกีฬา ครูอ๋องไม่เพียงแต่สอนให้ทำตามที่บอกอย่างเดียว.....แต่ครูอ๋องจะสอนวิธีแก้ทางการเล่นไปด้วย....ซึ่งวิธีนี้ผมคิดว่าเด็กในสังกัด ที ไทยแลนด์หลายคนก็ซึมซับแนวคิด หรือความคิดเหล่านี้ไปได้ไม่มากก็น้อย
        การฝึกของครุอ๋อง.....ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปดูที่สนามซ้อม แต่ก็รู้ได้เลยว่าการซ้อมเข้มข้นแน่นอน....เพราะแม้แต่ในการแข่งขัน ถ้านักกีฬาคนไหนตีผิดฟอร์มไปจากเดิมมาก  เมื่อแข่งเสร็จหลายคนมักถูกไล่ให้ไปวิ่งรอบสนามแบดมินตันหลายรอบ ซึ่งการแข่งก็หนักหนาอยู่แล้ว.......ยังต้องมาโดนทำโทษอีก.......แต่ทุกสิ่งที่ครูอ๋องทำมันก็เกิดผลที่ดีอย่างเห็นผลได้ชัดเจนคือ......น้อยคนนักที่จะแสดงอาการหมดแรงในระหว่างแข่งขัน นักกีฬาหลายคนในสังกัดมักจะเก็บอาการได้ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกีฬานี้ที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน....แต่แตกต่างตรงที่การยืนระยะของการแข่งขันนี่เอง

       สาเหตุที่ผมจับตามอง ศุภนิดา เกตุทองเป็นพิเศษเพราะ........โดยส่วนตัวแล้วผมก็เป็นนักกีฬามาก่อน....และในมุมมองของโค้ชการมีนักกีฬาที่สามารถอ่านเกมการเล่นได้ดีถือเป็นเรื่องง่ายครับ.......ต่อการให้ข้อมูลในการแก้เกม หรือการสั่งให้นักกีฬาแก้ไขจุดบกพร่อง

       นักกีฬาคนนี้อย่างที่ได้เรียนให้ทราบครับ ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่รายการแบดมินตันอาชีพนี้ เธอสามารถโค่นมือวางอันดับ 1 ในรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี และสามารถโค่นมือวางอันดับสองของรายการในประเภทหญิงเดี่ยวทั่วไป รอบชิงชนะเลิศได้ ............... กับอายุเพียงแค่ 14 ปี ถือว่าไม่ธรรมดาเลยครับ ที่สามารถเอาชนะรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าถึง 5 ปีได้ ผมสามารถรับปากได้เลยว่า........ถ้าน้องคนนี้ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากครูอ๋อง.......และน้องเค้าไม่มีปัญหาทั้งด้านการบาดเจ็บ......หรือปัญหาส่วนตัว


เชื่อผมเถอะครับ..........เด็กน้อยคนนี้จะสามารถสร้างรอยยิ้ม  ความประทับใจ.....และความสำเร็จมาสู่ประเทศ และแฟนๆชาวแบดมินตันแน่นอนครับ ^__^



22 กรกฎาคม 2554

Vary of my life



         หลังจากที่ใช้เวลาประมาณ  1 ภาคการศึกษา กับโีรงเรียนพระแม่มารีพระโขนง โรงเรียนที่ผมถือว่าเป็นเวทีแห่งแรกแห่งการก้าวเดินสู่ความใฝ่ฝันของตนเอง เป็นเวทีที่ผมได้นำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพของผมเอง

         อย่างที่เคยเขียนไปเมื่อคราวก่อน ผมได้เปลี่ยนสถานที่ทำงาน จากที่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน เสียงแหบเสียงแห้งคอยดูแลนักเรียนตัวน้อยๆ ที่จะเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า .......................... ต้องย้ายสถานะตนเอง จากคำว่าคุณครู....มาสู่  ผู้ช่วยปฏิบัติงาน ถือเป็นอีกสายงานอีกสายหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการสอนหนังสือโดยสิ้นเชิง ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวขับเคลื่อนวงการกีฬาของประเทศไทย ให้มีความสามารถและศักยภาพทัดเทียกับนานาอารยประเทศ
หน่วยงานที่มีชื่อว่า

"การกีฬาแห่งประเทศไทย"


       จริงๆแล้ว.....การได้มาทำงานที่หน่วยงานนี้ เกิดจากที่่ตำแหน่งงานผู้ช่วยปฏิบัติงาน ต้องการเปิดรับเพิ่มเพื่อมาดูแลในส่วนของกองทุนกีฬามวยภายในจังหวัดลพบุรี 

          ในช่วงเวลานั้น เพื่อนของพ่อเป็นผู้อำนวยการศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรีพอดี เพื่อของคุณพ่อท่านนี้จึงอยากให้เราซึ่งเขารู้จักเรามาตั้งแต่ยังเล็กๆ ได้กลับมาอยู่บ้าน(เพราะว่าเราไม่เคยอยู่ติดบ้านเลยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ) มาดูแลพ่อแม่ที่บ้าน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ตอนแรกผมไม่อยากกลับมาทำงานที่ลพบุรี ถึงแม้ว่าตำแหน่งงานจะน่าสนใจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความที่ผมกำลังสนุกกับการสอนหนังสืออยู่ และอีกอย่างคือผมพึ่งสอนได้เพียงแค่ภาคการศึกษาเดียว ทำให้รู้สึกว่าจะดูไม่ดี เนื่องจากโรงเรียนพระแม่มารีพระโขนงจะต้องหาครูพลศึกษามาสอนแทนตำแหน่งที่ว่างลงของผม และขาดความต่อเนื่องของการเรียนการสอน

         แต่เมื่อพ่อแม่ของเราออกตัวอย่างเต็มที่ต่อการที่จะต้องการให้ผมกลับมาทำงานที่ลพบุรี ผมจึงไม่สามารถที่จะขัดขวางความต้องการของท่านได้ โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่ว่า พ่อแม่ต้องสรรค์หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ จริงๆแล้วพ่อแม่ของผมเป็นครูทั้ง 2 ท่าเลยครับ ท่านอาจจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า ชีวิตของการเป็นครูนั้นมันวุ่นวายและจุกจิกมากขนาดไหน ท่านอาจไม่อยากให้เราลำบากและหนักใจเหมือนที่ท่านเป็นอยู่ หรือไม่ท่านอาจมองลูกของท่านเองแล้วคิดว่า.......เราไม่สามารถทนกับเรื่องพวกนี้ได้ ^__^ .........................ก็คิดกันไปต่างๆนาๆ แต่ผมรู้แค่ว่าเค้ารักเรา...และเราก็รักท่านมากๆแค่นั้นก็พอครับ

        หลายคนอาจสงสัยว่า....ที่ได้มาทำงานที่ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรีนั้น เป็นเพราะได้เส้นจากความเป็นเพื่อนของพ่อหรือไม่??  เลยทำให้ได้งานนี้??  ผมต้องขอบอกเลยว่าโดยส่วนตัวของผมนั้น เป็นคนที่ไม่ชอบ และค่อนข้างจะเกลียดในเรื่องระบบเส้นสายเป็นทุนเดิม ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนอยู่แล้วครับ แต่เราทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ....ถ้าเราได้รับโอกาสและการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ สังคมของไทยเป็นสังคมที่มีความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วครับ และด้วยความมีน้ำใจต่อกันนี้เอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และดูเป็นเรื่องที่ชินตาสำหรับสังคมไทยไปแล้ว........ทำให้ผมมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปกับเรื่องนี้คือ  การจะได้ใครมาทำงานนั้นไม่สำคัญ.......สำคัญที่ว่า  คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มความสามารถและมีประสิทธิภาพหรือไม่ ? เพียงเท่านี้ ผมว่ามันก็คงจะลดช่องโหว่ของการถูกคนอื่นมองในทางที่ไม่ดีได้ คือวัดกันที่ตัวผลงานเป็นหลัก........ผมขอยกตัวอย่างเรื่องราวที่อาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ในช่วงที่ปริญญาตรีดังนี้ครับ

         " ถ้าอาจารย์ทำทีมกีฬาซักทีมหนึ่ง แล้วต้องตัดสินใจเลือกนักกีฬา 2 คน ที่มีศักยภาพและความสามารถเท่ากัน อีกคนหนึ่งเป็นนักกีฬาที่มาจากมหาวิทยาลัยอื่น แต่อีกคนมาจากผลผลิตของตัวอาจารย์เอง ฝึกซ้อมมากับมือ  ยังไงอาจารย์ก็เลือกลูกศิษย์ของตัวเอง..."

        จากข้อความข้างต้น ผมคิดว่ามันสะท้อนอะไรให้เราเห็นหลายอย่างนะครับ คือเราจะใช้บริการคนอื่นทำไม ในเมื่อถ้าเรามีคนที่รู้จักและคุ้นเคยกัน มีปัญหาอะไรก็สามารถก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ง่ายกว่าคนอื่น......ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้ในเรื่องนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นมุมมองในแง่ดีอีกวิธีหนึ่งเช่นกันครับ


บทความถัดไปผมจำนำเรื่องราวของการทำงานกับวงการกีฬามวยที่ผมทำอยู่มาเสนอครับ

โปรดติดตามในตอนถัดไป>>>>