21 กรกฎาคม 2554

ก้าวแรกสู่โลกของการทำงาน









             หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนามว่า
 " ศรีนครินทรวิโรฒ "มาเป็นเวลา 4 ปี อยู่กับสิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมชอบ
กับการเรียนศาสตร์ที่เกี่ยวกับกีฬา คณะพลศึกษาสอนให้ผมเคารพและให้เกียรติกับคนทุกคน สอนให้พวกเราเคารพในความเป็นพี่เป็นน้อง (ซึ่งถึงแม้จะไม่เข้าใจกับกฎระเบียบ และแบบแผนซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ผมก็ยอมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ^_^) สอนให้รู้จักมารยาทในสังคม และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต...ที่ตัวผมมักได้ยินจากใครหลายคนมักพูดเสมอ แต่น้อยคนที่จะเข้าใจในความหมายของมันจริงๆ กับคำว่า........
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย 
         ซึ่งกับวลีข้างต้นนี้ แท้จริงแล้วผมรู้จักกับมันมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เพราะผมอยู่กับคลุกคลีในวงการกีฬามาตลอดตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่ผ่านเวทีในระดับชาติมากมายพอสมควร แต่ไม่คิดที่จะนำมาใช้สู่การปฏิบัติ ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยนั้น สามารถนำมาปรับใช้กับสังคมในทุกสังคมได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะละเลยกับเรื่องพื้นฐานง่ายๆเหล่านี้ 
     
             เมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนี้แล้ว.......หลายคนก็เลือกที่จะทำงานเพื่อเริ่มก้าวสู่วัยทำงาน วัยที่เราจะต้องมีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น ต้องมีระเบียบและตรงต่อเวลามากขึ้นกว่าสมัยที่เรียน ซึ่งถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่เกเร แต่ก็มีบ้างเป็นบางครั้ง ตามประสาของนิสิตคณะพลศึกษา ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเลือกที่จะก้าวสู่ชีวิตการทำงานเหมือนกับคนส่วนใหญ่.............อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากที่จะทำงานหรอกครับ ^^ ผมยังอยากที่จะใช้ชีวิตให้มันคุ้มที่สุดช่วงวัยรุ่น......วาดฝันไว้มากมายว่าจบแล้วจะทำอะไร  เดินทางท่องเที่ยวที่ไหน? แต่สุดท้าย.....ความจริงมันก็คือความจริงครับ จะมีซักกี่คนที่ทำได้อย่างที่คิด 


             สาเหตุของการทำงานครั้งแรกมันก็เป็นเรื่องบังเอิญหน่ะครับ.....บังเอิญมาก  มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบไปแล้วเขาสอบบรรจุเป็นครูได้ โรงเรียนเอกชนแห่งนั้นจึงมีตำแหน่งครูพลศึกษาว่างลง ผมนึกสนุกอะไรไม่รู้ เลยตอบปากรับไปว่าจะไปสอนให้ ซึ่งแท้จริงแล้วถึงผมจะเรียนเกี่ยวกับด้านการสอนพลศึกษามา แต่ในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพปีสุดท้ายของการเรียนนั้น...ผมเลือกที่จะฝึกงานที่ฟิตเนสแทน O__o 
ประสบการณ์ในการสอนของผมจึงแทบเป็น 0 !!  ถึงแม้จะผ่านการสอนมาบ้าง แต่การสอนที่ว่านี้คือการสอนกับเพื่อนด้วยกันเอง ไม่ได้จริงจังอะไรกับการสอนมาก...............แต่สิ่งที่เราจะต้องเจอคือ เด็กระดับประถมศึกษาเป็นโขยง..........เสียงโหวกเหวกโวยวาย....เด็กแกล้งกันร้องไห้ฟูมฟาย......เด็กคนนั้นขี้ฟ้อง......เด็กคนนี้ชอบแหย่เพื่อน......สารพัดกับทุกสิ่งที่จะเจอจริงๆ


โรงเรียนที่ว่านี้คือ โรงเรียนพระแม่มารีพระโขนงครับ........เป็นโรงเรียนคริสต์ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง บนถนนสุขุมวิท เป็นโรงเรียนที่มีประวัติที่ยาวนาน....ก่อตั้งโดยหลวงพ่อ คาร์โล เดลลา โตเร่ มีโรงเรียนที่เปิดขยายสาขาทั้งหมด 4 แห่ง คือ พระโขนง สาทร สาธุประดิษฐ์ และประจวบคีรีขันธ์  


การเข้าไปสอนของผมทุกสิ่งจึงถือเป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับผู้ที่เพิ่งจบมาใหม่ๆ เพราะต้องสอนในระดับประถมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทั้งครูและเป็นความคาดหวังของผู้ปกครอง เนื่องจากนักเรียนชั้นป.6 จะต้องเตรียมตัวสอบเข้าชั้นม.1  หรือแม้กระทั่ง เราต้องใช้พลังงานมากในการควบคุมเด็กนักเรียนทั้งห้อง ซึ่งการสอนพลศึกษาจะค่อนข้างมีความแตกต่างจากการสอนในกลุ่มสาระอื่นๆ เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกสนุกไปกับกิจกรรมที่เราสอน การควบคุมจึงยากกว่า ยอมรับว่าช่วงแรก เหนื่อยมาก แสงแหบไปเป็นเดือน เพราะเราต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเด็กตลอด ไหนจะต้ิองดูแลคอยป้องกันไม่ให้นักเรียนบาดเจ็บจากการเรียนการสอน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการควบคุม และมักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงเสมอๆ


        ยอมรับเลยครับว่าการสอนหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เหนื่อยกับการต้องเตรียมแผนการสอนและยังต้องมาจุกจิกกับเรื่องการวัดผลและประเมินผู้เรียน การทำวิจัยในชั้นเรียน และงานกิจกรรมภายในโรงเรียนอีกเยอะมาก พูดได้เลยว่าถ้าเสาร์ - อาทิตย์ไหนได้หยุด ผมจะถือโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่...หมดเวลาไปกับการนอนเลยทีเดียว 


        ผมมีประสบการณ์ในการสอนในสถานที่ศึกษานี้เพียงช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ คือสอนเพียง 1 ภาคการศึกษา ผมได้รับประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในการทำงานที่คุ้มค่ามาก สถานศึกษาแห่งนี้สอนให้รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งปัญหาในการทำงานมันมีทุกที่อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะฝ่ามันไปได้อย่างไร สถานที่ศึกษาแห่งนี้มีบุคคลหลายท่านที่ผมเคารพนับถือ โดยเฉพาะผู้อำนวยการ ท่านได้ให้คำแนะนำและข้อคิด ทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน และทุกวันนี้ ผมก็ยังดำเนินชีวิตโดยใช้คำสอนของท่านเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผมเอง


ขอบคุณโรงเรียนนี้้ที่ให้โอกาสผมครับ.......... ^__^

โปรดติดตามต่อในตอนหน้าครับ >>>
          



4 ความคิดเห็น:

  1. พี่ว่าตัวเล็กไปอะพี่มองไม่ค่อยเห็นพี่แก่แล้ว

    ตอบลบ
  2. บทความเขียนได้ซึ้งอะ pe24&pe23 พลศึกษา อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรง แต่ ไม่แข็งกระด้าง

    ตอบลบ
  3. ถ่ายทอดเรื่องราวได้สนุกและน่าติดตามค่ะ ..ถ้าจะช่วยผู้อ่านให้เพลิดเพลินต่องานเขียนของเรา ก็อาจปรับ size ตัวอักษร หรือเปลี่ยน template ให้ผู้อ่านสบายตากว่านี้ก็จะทำให้บทความของเราน่าติดตามยิ่งขึ้นค่ะ

    ตอบลบ