22 กรกฎาคม 2554

Vary of my life



         หลังจากที่ใช้เวลาประมาณ  1 ภาคการศึกษา กับโีรงเรียนพระแม่มารีพระโขนง โรงเรียนที่ผมถือว่าเป็นเวทีแห่งแรกแห่งการก้าวเดินสู่ความใฝ่ฝันของตนเอง เป็นเวทีที่ผมได้นำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพของผมเอง

         อย่างที่เคยเขียนไปเมื่อคราวก่อน ผมได้เปลี่ยนสถานที่ทำงาน จากที่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน เสียงแหบเสียงแห้งคอยดูแลนักเรียนตัวน้อยๆ ที่จะเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า .......................... ต้องย้ายสถานะตนเอง จากคำว่าคุณครู....มาสู่  ผู้ช่วยปฏิบัติงาน ถือเป็นอีกสายงานอีกสายหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการสอนหนังสือโดยสิ้นเชิง ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวขับเคลื่อนวงการกีฬาของประเทศไทย ให้มีความสามารถและศักยภาพทัดเทียกับนานาอารยประเทศ
หน่วยงานที่มีชื่อว่า

"การกีฬาแห่งประเทศไทย"


       จริงๆแล้ว.....การได้มาทำงานที่หน่วยงานนี้ เกิดจากที่่ตำแหน่งงานผู้ช่วยปฏิบัติงาน ต้องการเปิดรับเพิ่มเพื่อมาดูแลในส่วนของกองทุนกีฬามวยภายในจังหวัดลพบุรี 

          ในช่วงเวลานั้น เพื่อนของพ่อเป็นผู้อำนวยการศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรีพอดี เพื่อของคุณพ่อท่านนี้จึงอยากให้เราซึ่งเขารู้จักเรามาตั้งแต่ยังเล็กๆ ได้กลับมาอยู่บ้าน(เพราะว่าเราไม่เคยอยู่ติดบ้านเลยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ) มาดูแลพ่อแม่ที่บ้าน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ตอนแรกผมไม่อยากกลับมาทำงานที่ลพบุรี ถึงแม้ว่าตำแหน่งงานจะน่าสนใจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความที่ผมกำลังสนุกกับการสอนหนังสืออยู่ และอีกอย่างคือผมพึ่งสอนได้เพียงแค่ภาคการศึกษาเดียว ทำให้รู้สึกว่าจะดูไม่ดี เนื่องจากโรงเรียนพระแม่มารีพระโขนงจะต้องหาครูพลศึกษามาสอนแทนตำแหน่งที่ว่างลงของผม และขาดความต่อเนื่องของการเรียนการสอน

         แต่เมื่อพ่อแม่ของเราออกตัวอย่างเต็มที่ต่อการที่จะต้องการให้ผมกลับมาทำงานที่ลพบุรี ผมจึงไม่สามารถที่จะขัดขวางความต้องการของท่านได้ โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่ว่า พ่อแม่ต้องสรรค์หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ จริงๆแล้วพ่อแม่ของผมเป็นครูทั้ง 2 ท่าเลยครับ ท่านอาจจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า ชีวิตของการเป็นครูนั้นมันวุ่นวายและจุกจิกมากขนาดไหน ท่านอาจไม่อยากให้เราลำบากและหนักใจเหมือนที่ท่านเป็นอยู่ หรือไม่ท่านอาจมองลูกของท่านเองแล้วคิดว่า.......เราไม่สามารถทนกับเรื่องพวกนี้ได้ ^__^ .........................ก็คิดกันไปต่างๆนาๆ แต่ผมรู้แค่ว่าเค้ารักเรา...และเราก็รักท่านมากๆแค่นั้นก็พอครับ

        หลายคนอาจสงสัยว่า....ที่ได้มาทำงานที่ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรีนั้น เป็นเพราะได้เส้นจากความเป็นเพื่อนของพ่อหรือไม่??  เลยทำให้ได้งานนี้??  ผมต้องขอบอกเลยว่าโดยส่วนตัวของผมนั้น เป็นคนที่ไม่ชอบ และค่อนข้างจะเกลียดในเรื่องระบบเส้นสายเป็นทุนเดิม ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนอยู่แล้วครับ แต่เราทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ....ถ้าเราได้รับโอกาสและการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ สังคมของไทยเป็นสังคมที่มีความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วครับ และด้วยความมีน้ำใจต่อกันนี้เอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และดูเป็นเรื่องที่ชินตาสำหรับสังคมไทยไปแล้ว........ทำให้ผมมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปกับเรื่องนี้คือ  การจะได้ใครมาทำงานนั้นไม่สำคัญ.......สำคัญที่ว่า  คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มความสามารถและมีประสิทธิภาพหรือไม่ ? เพียงเท่านี้ ผมว่ามันก็คงจะลดช่องโหว่ของการถูกคนอื่นมองในทางที่ไม่ดีได้ คือวัดกันที่ตัวผลงานเป็นหลัก........ผมขอยกตัวอย่างเรื่องราวที่อาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ในช่วงที่ปริญญาตรีดังนี้ครับ

         " ถ้าอาจารย์ทำทีมกีฬาซักทีมหนึ่ง แล้วต้องตัดสินใจเลือกนักกีฬา 2 คน ที่มีศักยภาพและความสามารถเท่ากัน อีกคนหนึ่งเป็นนักกีฬาที่มาจากมหาวิทยาลัยอื่น แต่อีกคนมาจากผลผลิตของตัวอาจารย์เอง ฝึกซ้อมมากับมือ  ยังไงอาจารย์ก็เลือกลูกศิษย์ของตัวเอง..."

        จากข้อความข้างต้น ผมคิดว่ามันสะท้อนอะไรให้เราเห็นหลายอย่างนะครับ คือเราจะใช้บริการคนอื่นทำไม ในเมื่อถ้าเรามีคนที่รู้จักและคุ้นเคยกัน มีปัญหาอะไรก็สามารถก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ง่ายกว่าคนอื่น......ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้ในเรื่องนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นมุมมองในแง่ดีอีกวิธีหนึ่งเช่นกันครับ


บทความถัดไปผมจำนำเรื่องราวของการทำงานกับวงการกีฬามวยที่ผมทำอยู่มาเสนอครับ

โปรดติดตามในตอนถัดไป>>>>

        
        


21 กรกฎาคม 2554

ก้าวแรกสู่โลกของการทำงาน









             หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนามว่า
 " ศรีนครินทรวิโรฒ "มาเป็นเวลา 4 ปี อยู่กับสิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมชอบ
กับการเรียนศาสตร์ที่เกี่ยวกับกีฬา คณะพลศึกษาสอนให้ผมเคารพและให้เกียรติกับคนทุกคน สอนให้พวกเราเคารพในความเป็นพี่เป็นน้อง (ซึ่งถึงแม้จะไม่เข้าใจกับกฎระเบียบ และแบบแผนซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ผมก็ยอมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ^_^) สอนให้รู้จักมารยาทในสังคม และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต...ที่ตัวผมมักได้ยินจากใครหลายคนมักพูดเสมอ แต่น้อยคนที่จะเข้าใจในความหมายของมันจริงๆ กับคำว่า........
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย 
         ซึ่งกับวลีข้างต้นนี้ แท้จริงแล้วผมรู้จักกับมันมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เพราะผมอยู่กับคลุกคลีในวงการกีฬามาตลอดตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่ผ่านเวทีในระดับชาติมากมายพอสมควร แต่ไม่คิดที่จะนำมาใช้สู่การปฏิบัติ ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยนั้น สามารถนำมาปรับใช้กับสังคมในทุกสังคมได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะละเลยกับเรื่องพื้นฐานง่ายๆเหล่านี้ 
     
             เมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนี้แล้ว.......หลายคนก็เลือกที่จะทำงานเพื่อเริ่มก้าวสู่วัยทำงาน วัยที่เราจะต้องมีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น ต้องมีระเบียบและตรงต่อเวลามากขึ้นกว่าสมัยที่เรียน ซึ่งถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่เกเร แต่ก็มีบ้างเป็นบางครั้ง ตามประสาของนิสิตคณะพลศึกษา ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเลือกที่จะก้าวสู่ชีวิตการทำงานเหมือนกับคนส่วนใหญ่.............อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากที่จะทำงานหรอกครับ ^^ ผมยังอยากที่จะใช้ชีวิตให้มันคุ้มที่สุดช่วงวัยรุ่น......วาดฝันไว้มากมายว่าจบแล้วจะทำอะไร  เดินทางท่องเที่ยวที่ไหน? แต่สุดท้าย.....ความจริงมันก็คือความจริงครับ จะมีซักกี่คนที่ทำได้อย่างที่คิด 


             สาเหตุของการทำงานครั้งแรกมันก็เป็นเรื่องบังเอิญหน่ะครับ.....บังเอิญมาก  มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบไปแล้วเขาสอบบรรจุเป็นครูได้ โรงเรียนเอกชนแห่งนั้นจึงมีตำแหน่งครูพลศึกษาว่างลง ผมนึกสนุกอะไรไม่รู้ เลยตอบปากรับไปว่าจะไปสอนให้ ซึ่งแท้จริงแล้วถึงผมจะเรียนเกี่ยวกับด้านการสอนพลศึกษามา แต่ในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพปีสุดท้ายของการเรียนนั้น...ผมเลือกที่จะฝึกงานที่ฟิตเนสแทน O__o 
ประสบการณ์ในการสอนของผมจึงแทบเป็น 0 !!  ถึงแม้จะผ่านการสอนมาบ้าง แต่การสอนที่ว่านี้คือการสอนกับเพื่อนด้วยกันเอง ไม่ได้จริงจังอะไรกับการสอนมาก...............แต่สิ่งที่เราจะต้องเจอคือ เด็กระดับประถมศึกษาเป็นโขยง..........เสียงโหวกเหวกโวยวาย....เด็กแกล้งกันร้องไห้ฟูมฟาย......เด็กคนนั้นขี้ฟ้อง......เด็กคนนี้ชอบแหย่เพื่อน......สารพัดกับทุกสิ่งที่จะเจอจริงๆ


โรงเรียนที่ว่านี้คือ โรงเรียนพระแม่มารีพระโขนงครับ........เป็นโรงเรียนคริสต์ที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง บนถนนสุขุมวิท เป็นโรงเรียนที่มีประวัติที่ยาวนาน....ก่อตั้งโดยหลวงพ่อ คาร์โล เดลลา โตเร่ มีโรงเรียนที่เปิดขยายสาขาทั้งหมด 4 แห่ง คือ พระโขนง สาทร สาธุประดิษฐ์ และประจวบคีรีขันธ์  


การเข้าไปสอนของผมทุกสิ่งจึงถือเป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับผู้ที่เพิ่งจบมาใหม่ๆ เพราะต้องสอนในระดับประถมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทั้งครูและเป็นความคาดหวังของผู้ปกครอง เนื่องจากนักเรียนชั้นป.6 จะต้องเตรียมตัวสอบเข้าชั้นม.1  หรือแม้กระทั่ง เราต้องใช้พลังงานมากในการควบคุมเด็กนักเรียนทั้งห้อง ซึ่งการสอนพลศึกษาจะค่อนข้างมีความแตกต่างจากการสอนในกลุ่มสาระอื่นๆ เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกสนุกไปกับกิจกรรมที่เราสอน การควบคุมจึงยากกว่า ยอมรับว่าช่วงแรก เหนื่อยมาก แสงแหบไปเป็นเดือน เพราะเราต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเด็กตลอด ไหนจะต้ิองดูแลคอยป้องกันไม่ให้นักเรียนบาดเจ็บจากการเรียนการสอน ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการควบคุม และมักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงเสมอๆ


        ยอมรับเลยครับว่าการสอนหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เหนื่อยกับการต้องเตรียมแผนการสอนและยังต้องมาจุกจิกกับเรื่องการวัดผลและประเมินผู้เรียน การทำวิจัยในชั้นเรียน และงานกิจกรรมภายในโรงเรียนอีกเยอะมาก พูดได้เลยว่าถ้าเสาร์ - อาทิตย์ไหนได้หยุด ผมจะถือโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่...หมดเวลาไปกับการนอนเลยทีเดียว 


        ผมมีประสบการณ์ในการสอนในสถานที่ศึกษานี้เพียงช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ คือสอนเพียง 1 ภาคการศึกษา ผมได้รับประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในการทำงานที่คุ้มค่ามาก สถานศึกษาแห่งนี้สอนให้รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งปัญหาในการทำงานมันมีทุกที่อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะฝ่ามันไปได้อย่างไร สถานที่ศึกษาแห่งนี้มีบุคคลหลายท่านที่ผมเคารพนับถือ โดยเฉพาะผู้อำนวยการ ท่านได้ให้คำแนะนำและข้อคิด ทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน และทุกวันนี้ ผมก็ยังดำเนินชีวิตโดยใช้คำสอนของท่านเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผมเอง


ขอบคุณโรงเรียนนี้้ที่ให้โอกาสผมครับ.......... ^__^

โปรดติดตามต่อในตอนหน้าครับ >>>