8 สิงหาคม 2554

ออฟฟิศ....จิตป่วน ^^


       สิ่งพนักงานหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ.....ที่นอกจากจะเหนื่อยกับการทำงานอย่างหนักหน่วง ต้องรับมือกับความกดดันต่อภารกิจหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ แล้วนั้น

       ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่า...บางทีอาจจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในตัวมันเองก็เป็นได้ (ซึ่งบางสำนักงานอาจจะเจออย่างที่ทำงานผมทำอยู่ก็เป็นได้ครับ) นั้นก็คือ.......

การเสนอขายสินค้าขายตรงต่างๆ.......ที่นำมาเสนอสินค้าให้ท่านถึงสำนักงาน !!

       สำหรับตัวผมเองแล้วนั้น การขายสินค้าตรงลักษณะเช่นนี้ ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับงานนี้ครับ......เพราะผมถือว่าเป็นงานที่สุจริต...ไม่ใช่งานที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมของไทย......เมื่อมีใครมาเสนอขายของ หรือให้ทดลองสินค้า ที่ำทำงานผมก็มักจะเปิดโอกาสให้พนักงานขายเหล่านี้ ได้มาขายสินค้าได้ตามปกติ................แต่ต้องอยู่ในขอบเขต...ไม่ขายในขณะเวลาที่เรากำลังทำงานยุ่งกันอยู่

       ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ...ที่บางทีไม่ค่อยจะใส่ใจกับสินค้าอะไรมาก (ยกเว้นป้าขายขนมไทยหาบเร่  ถ้าแกผ่านมาแถวนี้เมื่อไหร่......ถึงแกจะไม่แวะเข้ามาที่สำนักงาน แต่ถ้าผมเห็นก็จะวิ่งไปซื้อกับแกทันที ^^) ถ้าสินค้าบางตัวไม่ได้อยู่ในพื้นฐานความสนใจของเรา.........เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจกับสินค้าที่มาขายตรงต่อเราเท่าที่ควร ผมชอบที่จะเดินเข้าไปเลือกสินค้า ใช้เวลาพิจารณาสินค้ามากกว่านั้นเอง

ที่สำนักงานที่ผมทำงานอยู่นั้นตั้งอยู่ภายในเขตสนามกีฬาจังหวัดลพบุรี...ซึ่งถัดออกไปในบริเวณเหล่านี้ เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดลพบุรี มีทั้งหน่วยงานราชการทั้งของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครอง ที่ว่าการอำเภอ หรือที่ทำการกระทรวง สำนักงานต่างๆ หรือของภาคเอกชน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณแถวนี้แทบทั้งสิ้น  ซึ่งดูแล้วเปรียบเสมือนเป็นทำเลทองในการนำเสนอสินค้าได้เป็นอย่างดี
         ถ้าจะพูดถึงประเภทของสินค้าที่นำมาขายโดยทั่วไป ก็มีอย่างของที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวออฟฟิศ......คือ ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล 555  โดยเฉพาะช่วงก่อนวันหวยออกด้วยแล้วนั้น จะมีบรรดาหนุ่มน้อยสาวใหญ่จากออฟฟิศต่างแห่กันไปมุงดูตามแผงไปหมดครับ...........หรือไม่ก็จะเป็นพวกขายผลิตภัณฑ์ต่างๆสารพัดที่จะหาได้

        ในสำนักงานของผมนั้นก็เป็นอีกที่่ซึ่งไม่รอดจากการนำเสนอขายสินค้าอยู่แล้ว  เช่นการเสนอขายผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดโซฟา และเครื่องหนัง...ซึงพนักงานได้เสนอขายโดยการทดลองเทน้ำยาลงบนโซฟาของสำนักงานเล็กน้อยลงไป....ซึ่งมันได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ แต่ด้วยราคาซึ่งแพงบรมถึงขวดละ 3,xxx บาท พี่ที่สำนักงานจึงไม่มีใครคิดซื้อ.....แล้วพนักงานก็จากไปแต่สิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้คือ........
ความแตกต่างระหว่างรอยที่สะอาด   กับรอยคราบสกปรกซึ่งมันแตกต่างกันชัดมาก
แล้วใครจะขัดออกหล่ะทีนี้ T^T
ใครก็ได้...มาขัดให้ทีครับ T^T

       บางครั้งก็มีน้องๆที่ทำงานชมรมหรือองค์กรอาสาต่างๆมาขอรับการสนับสนุนในการออกค่ายพัฒนาชนบท...ซึ่งสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย...ถึงผมจะไม่ค่อยได้ออกค่ายมากนัก แต่ก็มักจะยินดีที่จะช่วยเหลือโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว......อย่างล่าสุดมีน้องจากชมรมอะไรซักอย่างมาขอให้ช่วยสนับสนุนในการไปออกค่ายเพื่อนำรายได้ไปช่วยสร้างห้องน้ำให้กับโรงเรียนชาวเขา....................แม้ในใจจะสงสัยกับแนวคิดของน้องๆเค้า บวกกับความสงสัยในตัวเองว่า........
โรงเรียนเหล่านี้ไม่มีห้องน้ำมาก่อนรึไงนะ ??? 
มัวแต่เอาเงินไปสร้างอาคารจนลืมสร้างห้องน้ำรึไงนะ??
ไปซื้อจอบให้โรงเรียนแล้วไปขุดหาที่เอาเองก็ได้มั้ง???

แต่ผมก็ยินดีช่วยเหลือกับชมรมนี้ไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก (นอกจากความคิดอุตริในหัว ^^) ในราคา100 .....ซึ่งได้ของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจรูปช้าง ซึ่งตอนหลังผมเรียกเจ้าพวงกุญแจนี้ว่้า
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ...เนื่องจากใช้ได้ไม่ถึง 1 วัน มันก็ขาด......ซะงั้น !!
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ ซึ่งหูพวงกุญแจมันขาดไปแล้ว  ไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรต่อ

        แต่การนำเสนอสินค้าที่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่าที่ผ่านมามากที่สุด......คือการนำเสนอขายพนักพิงเบาะนวดไฟฟ้า ซึ่งพนักงานได้เสนอขายให้กับพี่ที่ทำงานอีกคนหนึ่งพร้อมแจกเอกสารแนะนำสรรพคุณของเครื่องนวดว่าดีอย่างไร........ตัวผมซึ่งจบมาทางด้านพลศึกษาและผ่านการทำงานฟิตเนสมาครับ ทำให้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร....แล้วพอมองสินค้าแปปเดียวผมก็รู้แล้วครับว่าสินค้ายังมีจุดอ่อนอีกเยอะ  แต่ด้วยความเกรงใจและไม่อยากไปขัดการทำงานกับเค้า...ผมจึงเลือกที่จะนั่งทำงานประจำของผมต่อไป  แต่หูก็แอบฟังการนำเสนอของเค้าไปเรื่อยอย่างตั้งใจ
หน้าตาของเครื่องที่ว่าประมาณนี้ครับ

        และผมก็มาสะดุดกับการนำเสนอสินค้าประโยคหนึ่งที่ว่า
"เมื่อเทียบกับการนวดแผนไทยที่ต้องเสียเวลาไปนวดแผนไทยคราวละหลายชั่วโมงแล้ว...เครื่องนี้สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ภายในเวลาไม่กีนาที  และค่าใช้จ่ายเมื่อเฉลี่ยแล้วตกอยู่เพียงแค่วันละ 16 บาท ต่อปี" ในใจผมคิดทันทีว่า "กะแล้วว่าต้องมาลูกไม้นี้".......ใครมันจะบ้านวดกันได้ทุกวี่ทุกวันครับ

        เพียงเท่านั้นแหล่ะครับ...ผมหมดความอดทนทันที  พร้อมกับเดินเข้าไปหาพนักงานพร้อมสอบถาม
ผม :       พี่ครับ.....เครื่องที่ว่านี้โครงสร้างของเครื่องและลูกกลิ้งที่ใช้นวดข้างใน จะรู้ได้ไงว่ามันพอดีกับขนาดตัวของแต่ละคน ??
พนักงาน : ถ้าน้องอยากรู้ต้องลองดูแล้วหล่ะ....ว่ามันพอดีกับขนาดตัวของน้องมั้ย??

พี่แกพลาดแล้วครับ ! เพราะคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่เป็นจุดอ่อนของพนักพิง หรือเครื่องนวดไฟฟ้าทั่วโลกอยู่แล้วครับ คือ.....ขนาดตัวของคนยุโรป คนเอเชีย ผู้ชายหรือผู้หญิง หรือแม้แต่นักกีฬาหรือเป็นคนธรรมดา ย่อมมีขนาดร่างกายก็ต่างกันอยู่แล้ว....แล้วขนาดของเครื่อง กับ ขนาดของลูกกลิ้งก็มีผลต่อการนวดเหมือนกันครับ.....ผมเคยนวดเครื่องนวดไฟฟ้าที่เป็นเครื่องของคนยุโรป ปรากฎว่าลูกกลิ้งข้างในมันหมุนบดถึงกระดูกสันหลังเลยครับ......แทบจะไม่โดนเส้นเลย......เจ็บมาก !!!
นี่พี่แกเล่นจะขายของอย่างเดียวเลยรึไงนะ??

แต่ผมก็ยังเก็บอาการแล้วยิงคำถามต่อ
ผม : แล้วความหนักในการกดของลูกกลิ้งนี้.......มีแบ่งความเบาหนักในการกดต่างกันมากหรือไม่ครับ??
พนักงาน: ด้วยฟังก์ชั่นในการกดมีความหนักเพียงพออยู่แล้วครับ ^^

ก็พลาดอีกนั่นแหล่ะ !..เพราะร่างกายแต่ละคนรองรับความหนักในการกดได้แตกต่างกันครับ.....ถึงแม้เครื่องจะมีฟังก์ชั่นเพิ่มความหนักเบาในการกดก็จริง แต่ก็อาจไม่พอกับความต้องการในการกดก็ได้ครับ เพราะผมเคยนวดคนที่เส้นอยู่ลึกมากๆ แทบจะต้องใช้แีรงทั้งตัวในการกด เขาถึงจะรู้สึก

        เท่านั้นแหล่ะครับ.......ผมไม่พูดอะไรแต่ผมเดินออกมาเลย.....เพื่อส่งสัญญาณเป็นนัยให้กับพี่อีกคนว่า...มันไม่เวิร์คหรอกครับพี่ ! ซึ่งเค้าก็พอจะเข้าใจความหมายของเราได้.........สุดท้ายพี่เค้าก็ไม่ได้ซื้อจริงๆครับ ^^

        ที่ผมทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมไปขัดขวางไม่ให้พนักงานได้ขายของนะครับ....แต่สินค้าถ้ามันมีจุดอ่อนและมันไม่ครอบคลุมกับความต้องการการใช้งานของเราจริงๆ  จะไปทนซื้อมาใช้ให้หงุดหงิดทำไมครับ?? เชื่อผมเถอะว่ายอมเสียเงิน...เสียเวลามากขึ้น ไปนวดตามร้านนวดแผนโบราณดีกว่าครับ.......ให้หมอนวดได้จับเส้นและช่วยนวดแก้อาหารต่างๆดีกว่าครับ
        การนวดถือเป็นศาสตร์โบราณอย่างหนึ่ง......ที่คนไทยเราสามารถคิดค้นรวมถึงรับเอาวิทยาการมาจากชาติอื่นๆผสมผสานออกมาจนเป็นที่ยอมรับและนิยมใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นพันๆปีแล้วครับ......แน่นอนว่าการนวดเพื่อรักษาอาการต่างๆย่อมดีกว่าการใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างแน่นอนครับ ซึ่งแม้ว่าเครื่องนวดไฟฟ้าจะสามารถลดเวลาและสะดวกในการใช้กว่า การเดินทางไปร้านนวดแผนโบราณ หรือการให้ผู้อื่นมานวดให้.........แต่ร่างกายของเรา  มีเพียงร่างเดียวนะครับ ไม่ใช่ว่าเสียแล้วจะไปซ่อมกันได้ง่ายๆ การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกาย มีประโยชน์และสุขภาพดีย่อมเป็นสิ่งจำเป็นครับ


นวดโดยเครื่อง......มันจะดีกว่านวดโดยคนได้อย่างไร  จริงมั้ยครับ ^___^







       









3 สิงหาคม 2554

ค่านิยมกีฬามวยไทย.......ของชาวต่างชาติ


       กีฬามวยไทยนั้น ถ้าเทียบกันในเรื่องของค่านิยมของคนไทยเองนั้น เทียบไม่ได้เลยครับกับชาวต่างชาติ ช่วงหลายปีให้หลังมานี้......มีชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา ลงทุนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล.....เพื่อที่จะมาฝึกเรียนมวยไทย...ที่เมืองไทย   เมืองซึ่งเป็นต้นตำรับของมวยไทย ศิลปะต่อสู้ที่มีพิษสงรอบตัว

       กีฬามวยไทยนั้นอย่างที่ได้เคยเรียนให้ทราบไปว่า เป็นการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเทียบกันด้วยน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ ในสมัยก่อน ชาวต่างชาติทั้งทางฝั่งยุโรป และฝั่งเอเชีย เคยมีการประลองการแข่งขัน โดยการนำการต่อสู้ประจำชาติของแต่ละที่มาแข่งขันกัน เพื่อหาที่สุดของที่สุดในศิลปะป้องกันตัวที่มนุษยชาติได้คิดค้นขึ้นมา กีฬามวยไทยก็เป็นอีกศิลปะหนึ่งที่ถูกเชิญให้ไปร่วมประลองในหลายๆรายการ แข่งขันกับศิลปะประจำชาติอื่น อาทิ คาราเต้ มวยปล้ำ 
เทควันโด นักมวยของไทยที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยเองหลายคน เลือกที่จะต่อสู้ในสังเวียนที่แปลกแตกต่างออกไปในต่างชาติ ส่วนหนึ่งอันเนื่องมากจาก ค่าตัวที่ต่างชาติจ้างไปนั้น มีราคาสูงมากถ้าเทียบกับการต่อยมวยในเวทีสำคัญๆต่างๆในเมืองไทย ช่วงสิบกว่าปีที่แล้วนักมวยที่ชื่อที่เราคุ้นหู และลงแข่งมากที่สุดคือ น้องตุ้ม หรือ ปริญญา เจริญผล สาวประเภทสองที่เดินทางไปหลายประเทศเพื่อแข่งขันกับนักสู้ต่างประเทศ
ปริญญา เจริญผล  หรือ น้องตุ้ม

       



       ซึ่งในหลายๆเวทีที่นักมวยไทยได้ขึ้นสังเวียนต่อสู้กับนักสู้ต่างชาติ นักมวยไทยเหล่านี้ได้แสดงถึงฝีไม้ลายมือ ให้ชาวต่างชาติเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาว่า.........เมืองไทยมีของดีอยู่  ทำให้หลายๆชาติเริ่มที่จะเลียนแบบกีฬามวยไทย  ดังจะเห็นได้จาก ในแถบยุโรปมีกีฬาที่ชื่อว่า Ultimate Fighting ซึ่งมีรูปการแข่งขันที่คล้ายคลึงกับมวยไทย แต่มีการผสมผสานของการต่อสู่ชนิดอื่นเข้าไปหลากหลายชนิด ประกอบกับการใช้กติกาซึ่งค่อนข้างแปลก เพราะนักสู้ต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆไม่ว่าวิธีการใดๆก็ได้ จนกว่าคู่ต่อสู่จะยอมแพ้ หรือหมดเวลาการแข่งขัน
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะล้มไปแล้ว..ก็ยังสามารถตามไปซ้ำต่อได้


การต่อสู้ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว

ถึงแม้จะมีเลือดตกยางออกเท่าใด......ก็จะไม่มีการหยุดเล่นจนกว่าเวลาจะหมดหรือขอยอมแพ้
       เมื่อหลายปีก่อน มีเสี่ยเจ้าของค่ายมวยชื่อดังในประเทศไทย ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์การแข่งขัน Ultimate Fighting เข้ามาแข่งขันในประเทศไทย....แต่ถูกคณะกรรมการกีฬามวยไทย และการกีฬาแห่งประเทศไทย คัดค้าน ด้วยเหตุผลคือ.......เป็นกีฬาที่มีความโหดร้าย ทารุณ และไม่เหมาะสมที่จะนำมาเผยเเพร่ในประเทศไทย........ซึ่งตัวผมเองเห็นด้วยกับการคัดค้านนี้นะครับ

       จุดมุ่งหมายของกีฬามวยไทย......มีไว้เพื่อป้องกันตัว.......มิใช่มีเพื่อไว้ทำลายหรือเบียดเบียนใคร รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ฝึกความอดทน มีความเป็นสุภาพบุรุษ และให้เกียรติต่อคู่ต่อสู้และคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษมากว่า 1,000 ปี ซึ่งกีฬา Ultimate Fighting เป็นกีฬาที่ขัดต่อ วัฒนธรรมและประเพณีของชาติไทยเรา จึงไม่มีการเผยแพร่มากนัก แต่ก็มักจะมีการถ่ายทอดเทปบันทึกการแข่งขันทางช่องเคเบิลต่้างๆ ซึ่งก็ถือเป็นการเผยแพร่กีฬาให้ได้รู้จักอีกชนิดหนึ่ง


       ข้ามมาทางฝั่งประเทศญี่ปุ่น...ซึ่งประเทศนี้มีความคลั่งไคล้หลงไหลในศิลปะการต่อสู้เป็นอย่างมาก มวยไทยก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่ ชาวญี่ปุ่นมีความนิยมเป็นอย่างมาก มีการจ้างโค้ชมวยจากเมืองไทย เปิดเป็นโรงเรียนและทำการฝึกสอนอย่างเป็นระบบ........โค้ชและนักมวยชาวไทยจึงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นคนล่อเป้า.....และคู่ซ้อมให้กับชาวญี่ปุ่น  ในช่วงแรกญี่ปุ่นผลิตนักมวยและแข่งขันกันเอง

       แต่ในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันโดยใช้ชื่อว่า
 K - 1 Grang Prix ซึ่งจริงแล้วก็ไม่ได้มีแต่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่สนใจในกีฬาชนิดนี้ ในปัจจุบัน ประเทศในแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีโครงกวนความร่วมมือจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการจัดตั้งศูนย์ฝึกกีฬามวยในประเทศนั้นๆ ส่งผู้ฝึกสอน และคู่ซ้อมส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นช่องทางทำให้กีฬามวยไทยได้รับความนิยมมากขึ้น


       ในการแข่งขัน K - 1 Grand Prix นั้น ทางญี่ปุ่นได้เชิญชาวต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันด้วย ซึ่งจะขาดไม่ได้เลยสำหรับกีฬานี้ ถ้าจะไม่เชิญเจ้าของต้นตำรับของกีฬาชนิดนี้อย่างประเทศไทยเราเข้าร่วมแข่งด้วย
ฉายาในวงการมวยของเขาคือ บัวขาว ป.ประมุข เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์โดยกำเนิด โดยบัวขาวเข้าร่วมการแข่งขัน  K -1 ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2547 ได้แชมป์บ้าง และพลาดท่าแพ้บ้าง ต่างกันไป............แต่สิ่งที่บัวขาวได้ทิ้งไว้ให้กับชาวต่างชาติได้เห็นคือ ลีลาแม่ไม้มวยไทย อันเป็นที่น่าเกรงขามอย่างมาก ทุ่ม ทับ จับ หัก และเหลี่ยมเชิงมวย...เป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติไม่สามารถเลียนแบบได้......หลายครั้งที่ผมได้ดูการชกของบัวขาว.......มันทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า.......ประเทศเรามีของล้ำค่ามากขนาดนี้  ทำไมเราถึงไม่เคยคิดที่จะใส่ใจกับมันเลย.....

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก...ที่เป็นคนไทยแท้ๆแต่ปล่อยให้ชาวต่างชาติคลั่งไคล้กับศิลปะของชาติไทยมากขนาดนี้ (บางทีก็น่าอายนะครับ ^^)



       หลังจากที่ปล่อยให้ชาวต่างชาติเพลิดเพลินกับศิลปะประจำชาติอยู่พักใหญ่......ในที่สุดวงการกีฬามวยไทยก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อให้กีฬามวยไทยมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยการนำกฎกติกามวยไทยที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป จัดเป็นการแข่งขันโดยใช้ชื่อว่า Thai Fight แต่ลดจำนวนยกในการแข่งขันจากเดิม
ชกกัน 5 ยก  ให้เหลือเพียง 3 ยก เพื่อความสนุกและเร้าใจในการเล่นมากยิ่งขึ้น

       ซึ่งรายการนี้มีการเชิญชาวต่างชาติเข้ามาแข่งขันด้วย....ซึ่งนักมวยต่างชาติที่เข้ามาแข่งขันก็มาจากนักมวยที่อยู่ในศูนย์ฝึกที่การกีฬาแห่งประเทศไทย.....จัดให้มีศูนย์ฝึกตามประเทศต่างๆนั่นเอง ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่ 2 แล้วที่มีการแข่งขัน Thai Fight โดยในปีนี้มีนักมวยจากชาติต่างๆเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่ง จีน ไต้หวัน บราซิล ที่มีศิลปะการต่อสู้ของชนชาติเค้าอยู่แล้ว....ก็ยังมีกลุ่มคนที่สนใจในการต่อสู้มวยไทยอยู่มากมายขนาดนี้

       รายการ Thai Fight ในปัจจุบัน ได้ทำการขยายความนิยมให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการจัดการแข่งขันในต่างประเทศ อย่างรายการที่ผ่านมาเดือนมิถุนายน ไปจัดการแข่งขันที่ไต้หวัน...ซึ่งได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่าง มีการถ่ายทอดสดทางทีวี...และยอดมวยจาก K - 1 ส่วนใหญ่ก็ได้รับคำเชิญมาร่วมแข่งขันด้วย



นับเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้วครับ.....ที่คนทั่วโลกเริ่มหันมามองประเทศเล็กๆอย่างเรา  ซึ่งนอกจากเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยว และพักผ่อนที่มีความอุดมสมบูรณ์มากอยู่แล้ว....เรายังมีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงามที่พร้อมจะเผยสู่สายตาชาวโลก........ถ้าเรามีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งในเรื่องของการจัดการแข่งขันและการเผยแพร่กีฬามวยไทยสู่ความเป็นสากล รับรองได้ครับว่า.....มวยไทย จะเป็นมรดกอันล้ำค่าของเมืองไทย ที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้


จากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่่ง  แต่จะหน้าที่ของคนไทยทุกคน ในการอนุรักษ์ และช่วยกันเผยแพร่กีฬามวย และสืบสานศิลปะการต่อสู้นี้ไป...อย่างน้อยขอแค่ถ้ามีใครถามเกี่บงกับเรื่องมวยแล้วท่านสามารถตอบคำถามได้...ผมคิดว่านั้นก็บรรลุเป้าหมายได้ไม่มากก็น้อยแล้วครับ ^__^






2 สิงหาคม 2554

มรดกไทย มรดกโลก !!


    กีฬามวยไทย เป็นศิลปะป้องกันตัวที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุด เมื่อเทียบน้ำหนักกันปอนด์ต่อปอนด์ !

       ประโยคนี้เมื่อได้ไปฟังครั้งสัมมนาตอนเริ่มมาทำงานที่ กกท.ใหม่ ก็ยังอดนึกขำไม่ได้ ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ?

       สมัยที่เรียนในมหาวิทยาลัย มีการเรียนการสอนที่ผมจะต้องเรียนทั้งมวยไทยและมวยสากล  ซึ่งผู้สอนของผมก็เป็นระดับปรมจารย์ในวงการกีฬามวย มีผู้คนนับหน้าถือตาท่านเยอะ และท่านก็ทำค่ายมวย
ชื่อว่า เดชรัตน์ ส่งแข่งขันในเวทีมวยสำคัญ ทั้งลุมพินี ราชดำเนิน ฯลฯ เชิงมวยของท่านนั้นผมยอมรับว่าไม่เป็นรองใคร

       ในมุมมองของคนไทยเองนั้น ปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่ากีฬามวยไทยไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ครับ....(จากการที่ผมได้เข้ามาคลุกคลีในวงการมาซักระยะ)  เนื่องจากภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่จะมองต่อกีฬานี้ คือเป็นกีฬาที่เล่นแล้วเจ็บตัว เป็นกีฬาที่ไม่สวยงาม ไม่มีอะไรน่าดึงดูด ทำให้บุคลิกภาพเสีย  ผู้ปกครองเด็กจึงเรียกที่จะให้ลูกหลานของตนเองเรียนศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆ เช่น

       กีฬาเทควันโดไงครับ........ซึ่งกีฬาชนิดนี้ก็เป็นอย่างที่ทราบดีว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี เป็นกีฬาที่ใช้ความว่องไวและออกอาวุธโดยใช้ปลายเท้าเป็นหลัก....และอีกอย่างคือ  แค่ดูชุดยูนิฟอร์มที่ใช้ซ้อมหรือแข่งขันมันก็ต่างกับกีฬามวยไทยมากอยู่แล้ว  กีฬาเทควันโดใส่ชุดสีขาวแขนยาว ขายาว มีสายคาดเอวที่แบ่งออกตามระดับความสามารถของแต่ละคน ไล่ไปตั้งแต่สายขาว ไปจนถึงสายดำ ............แต่ดูของกีฬามวยไทยสิครับ กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว กลิ่นน้ำมันมวยเหม็นหึ่ง !!! เทียบกันแล้วคงไม่มีใครอยากเล่นหรอกครับกีฬาชนิดนี้

       แต่ผมขอเปรียบเทียบความสามารถของ 2 กีฬานี้ให้ทุกท่านได้ดูนะครับ ว่าอาวุธของกีฬารชนิดใด......น่าเกรงขามมากกว่ากัน
http://www.youtube.com/watch?v=GNzIn1hefaM

       คลิปนี้ผมคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากหรอกนะครับ.......ว่ากีฬาใดมีการออกอาวุธและชั้นเชิงที่อันตรายมากกว่ากัน บางครั้งคนไทยก็ชอบชื่นชมกับศิลปะของต่างชาติมากเกินไป จนหลงลืมไปว่า เมืองไทยเรามีของดี บรรพบุรุษของเราคิดค้นมวยไทยมาเพื่อปกป้องประเทศชาติ จากอริราชศัตรูมากมาย และสิ่งเหล่านี้ก็หลงเหลือตกทอดมาสู่รุ่นของเรา เพื่อเขาหวังว่าจะให้เราคนไทยอนุรักษ์และสืบสานมรดกอันล้ำค่าของเมืองไทยนี้ต่อไป................
มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องถ่ายทอด และสืบสานมรดกนี้ต่อไปครับ ^^


บทความหน้าขอเขียนถึงความสนใจในกีฬามวยไทย....ของชาวต่างชาติ ....ติดตามอ่านด้วยนะครับ ^__^

1 สิงหาคม 2554

MTBP 2011


       แท้จริงแล้วหัวข้อที่ผมจะเขียนควรจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำงานในศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดลพบุรี แต่ก็มีเหตุอื่นที่จำจะต้องยกไปเขียนในบทความหน้า เนื่องจากมีหัวข้อที่ผู้เขียนเองสนใจมากกว่าจึงขอแทรกเรื่องเข้าไปก่อน

       เมื่อวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2554 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ตัดสินกีฬาแบดมินตันอาชีพแห่งประเทศไทย สนามที่ 3 ณ จังหวัดลำปาง ซึ่งการแข่งขันกีฬาอาชีพนั้นเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในประเทศไทยมีบรรจุกีฬาหลายชนิดเป็นกีฬาอาชีพ ซึ่งกีฬาเหล่านี้จะต้องมีการแข่งขันเพื่อสะสมคะแนนของนักกีฬาในอาชีพ และเปิดโอกาสให้นักกีฬาได้มีโอกาสใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และมีรายได้จากการแข่งขัน.........พูดง่ายๆก็คือต้องการจะทำให้นักกีฬาสามารถหาเลี้ยงชีพตนจากการเป็นนักกีฬาได้มากขึ้นนั่นเอง

       กีฬาแบดมินตันก็เป็นอีกกีฬาหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลนั้นจัดว่าสามารถเป็นกีฬานำไปสู่อาชีพได้ ดังจะเห็นได้จากการที่กีฬาชนิดนี้จัดการแข่งขันภายในประเทศ...ทั้งของภาครัฐและเอกชนรวมกันกว่าปีละ 60 แมตท์ ซึ่งจำนวนรายการนั้นสูงกว่า...จำนวนสัปดาห์ที่มีในรอบปีเสียอีก หรือแม้แต่ในต่างประเทศที่ีใช้การแข่งขันในระดับนานาชาติเพื่อเป็นการคัดเลือกนักกีฬาที่จะได้เข้าไปแข่งขันในกีฬา เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์...โดยวัดจากคะแนนสะสมที่สามารถทำได้ในรอบปี

       สำหรับในประเทศไทยนั้นการแข่งขันแบดมินตันอาชีพเพิ่งจะเริ่มจัดการแข่งขันมาได้เพียง 4 ปีเท่านั้น กระแสตอบรับจากการแข่งขันก็มีมากขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับการสนับสนุนจากจังหวัดต่างๆที่เสนอขอจัดการแข่งขันแบดมินตันอาชีพ เพราะไม่เพียงแต่เพื่อต้องการส่งเสริมกิจกรรมของกีฬาแบดมินตันในประเทศไทยแล้ว  ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัด ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยมีการกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก

       โดยในสนามที่ 3 ประจำปี 2554 จังหวัดลำปางได้รับเกียรติจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ให้เป็นเจ้าภาพในสนามนี้ระหว่างวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2554 ในการแข่งขันนี้ได้รับความสนใจจากนักกีฬาฝีมือเยี่ยมจากประเทศไทย อาทิ


พิสิษฐ์ พูดฉลาด จากสโมสรบ้านทองหยอด ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ชายเดี่ยว Youth Olympic ประเทศสิงค์โปร์ คนล่าสุด








       สิทธิชัย วิบูลย์ศิลป์ นักแบดรูปร่างสูงยาว ปราดเปรียว
สังกัดบ้านทองหยอด ได้แชมป์สำคัญๆในประเทศมาหลายรายการ เช่นการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย








 ภควัฒน์  วิไลลักษณ์ นักแบดจอมเก๋าจากสโมสร เคซี







                          ตะวัน  หวนสุริยา นักแบดมือซ้าย.....ที่มีเกมรับที่เหนียวแน่น








บดินทร์  อิสระ  และ มณีพงศ์  จงจิตร สองนักแบดที่มากประสบการณ์ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองคนก็ออกทัวร์ไปแข่งขันในรายการในต่างประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยในอนาคต


สัพพัญญู  อวิหิงสานนท์  นักแบดทีมชาติจาก Royal Star เป็นนักกีฬาประเภทชายเดี่ยวอีกคน ที่มีมือวางอันดับต้นๆของประเทศไทย





และนักแบดมินตันเยาวชนที่มีชื่อเสียงในประเทศอีกมากมายเข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันครั้งนี้


        ส่วนตัวผมเองได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันครั้งนี้ กับผู้ตัดสินอีก 13 คน ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินที่ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ได้เห็นการแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น ถึงแม้นักกีฬาจะเป็นหน้าเดิมๆซึ่งเราได้เคยทำหน้าที่ตัดสินมาแล้ว แต่กับการแข่งขันกีฬาอาชีพ ทุกนัด ทุกการแข่งขัน มันหมายถึงเงินรางวัลและคะแนนสะสมของนักกีฬาที่จะได้ ทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้


     














       แต่สิ่งที่ผมคิดว่าได้จากการแข่งขันครั้งนี้มากที่สุดคือ เราได้เห็นเห็นพัฒนาการของนักกีฬา ถึงผมจะใช้เวลาคลุกคลีในวงการนี้เพียงแค่ 3 ปี แต่ผมเริ่มตัดสินแบดมินตันในรุ่นเยาวชนมาตลอด ทำให้ได้เห็นพัฒนาการและความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เด็กนักกีฬาบางคนมีพรสวรรค์ดี แต่ก็ไม่อาจที่จะประสบความสำเร็จได้  ในฐานะที่ผมเป็นผู้ตัดสิน บางครั้งผมเองยังรู้สึกเสียดายความสามารถของเด็กบางคนที่ความสามารถดี...แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็โรยรา  หรือเลิกแข่งไปเพราะ ต้องให้ความสนใจกับการเรียนหนังสือมากกว่า......แต่แน่นอนครับ   ในเส้นทางสู่การเป็นนักแบดมินตันย่อมมีบางคนที่สะดุด...หรือไปไม่ถึงฝันของตัวเองบ้าง.........แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยคนนี้แน่นอนครับ
ภาพจาก : สยามกีฬา
  
       เด็กน้อยคนนี้ชื่อว่า ด.ญ.ศุภนิดา  เกตุทอง  อายุในปัจจุบันเพียง 14 ปี จากทีม ที ไทยแลนด์ ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เค้าอายุประมาณ 9 ขวบ ถนัดมือซ้าย ตัวเล็กมาก........ถ้าวัดความสูงของเค้า ไม่แบดมินตันก็สูงถึงระดับเอวของน้องเค้าแล้วครับ ^__^  แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กคนนี้ทำให้ผมมักประหลาดใจเสมอคือ ความเร็ว ความอดทน และความฉลาดในการเล่น ซึ่งอย่างหลังนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากน้อยคนนักที่อายุเพียงเท่านี้  จะมีความสามารถในการอ่านเกมของคู่ต่อสู้ได้ดีเช่นนี้
                                                                                                                                                   ซึ่งแน่นอนเพชรที่ดีจะมีสามารถส่องสว่างได้ถ้าหากขาดการขัดเกลา ซึ่งน้องเค้าเป็นนักกีฬาที่ได้รับการฝึกสอนโดย โค้ชอ๋อง หรือ อภิชัย ธีระรัตน์สกุล ซึ่งในอดีต ครูอ๋องเป็นนักกีฬาที่มีฝีมือดีระดับประเทศมาก่อน หลายครั้งที่ผมนั่งดูน้องเค้าแข่งขัน ก็จะมีครูอ๋องคอยแนะนำการเล่นตลอด ซึ่งครูอ๋องจะเป็นโค้ชที่ค่อนข้างดุกับนักกีฬาพอสมควร....แต่เท่าที่เคยฟังเวลาครูอ๋องโค้ชนักกีฬา ครูอ๋องไม่เพียงแต่สอนให้ทำตามที่บอกอย่างเดียว.....แต่ครูอ๋องจะสอนวิธีแก้ทางการเล่นไปด้วย....ซึ่งวิธีนี้ผมคิดว่าเด็กในสังกัด ที ไทยแลนด์หลายคนก็ซึมซับแนวคิด หรือความคิดเหล่านี้ไปได้ไม่มากก็น้อย
        การฝึกของครุอ๋อง.....ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปดูที่สนามซ้อม แต่ก็รู้ได้เลยว่าการซ้อมเข้มข้นแน่นอน....เพราะแม้แต่ในการแข่งขัน ถ้านักกีฬาคนไหนตีผิดฟอร์มไปจากเดิมมาก  เมื่อแข่งเสร็จหลายคนมักถูกไล่ให้ไปวิ่งรอบสนามแบดมินตันหลายรอบ ซึ่งการแข่งก็หนักหนาอยู่แล้ว.......ยังต้องมาโดนทำโทษอีก.......แต่ทุกสิ่งที่ครูอ๋องทำมันก็เกิดผลที่ดีอย่างเห็นผลได้ชัดเจนคือ......น้อยคนนักที่จะแสดงอาการหมดแรงในระหว่างแข่งขัน นักกีฬาหลายคนในสังกัดมักจะเก็บอาการได้ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกีฬานี้ที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน....แต่แตกต่างตรงที่การยืนระยะของการแข่งขันนี่เอง

       สาเหตุที่ผมจับตามอง ศุภนิดา เกตุทองเป็นพิเศษเพราะ........โดยส่วนตัวแล้วผมก็เป็นนักกีฬามาก่อน....และในมุมมองของโค้ชการมีนักกีฬาที่สามารถอ่านเกมการเล่นได้ดีถือเป็นเรื่องง่ายครับ.......ต่อการให้ข้อมูลในการแก้เกม หรือการสั่งให้นักกีฬาแก้ไขจุดบกพร่อง

       นักกีฬาคนนี้อย่างที่ได้เรียนให้ทราบครับ ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่รายการแบดมินตันอาชีพนี้ เธอสามารถโค่นมือวางอันดับ 1 ในรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี และสามารถโค่นมือวางอันดับสองของรายการในประเภทหญิงเดี่ยวทั่วไป รอบชิงชนะเลิศได้ ............... กับอายุเพียงแค่ 14 ปี ถือว่าไม่ธรรมดาเลยครับ ที่สามารถเอาชนะรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าถึง 5 ปีได้ ผมสามารถรับปากได้เลยว่า........ถ้าน้องคนนี้ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากครูอ๋อง.......และน้องเค้าไม่มีปัญหาทั้งด้านการบาดเจ็บ......หรือปัญหาส่วนตัว


เชื่อผมเถอะครับ..........เด็กน้อยคนนี้จะสามารถสร้างรอยยิ้ม  ความประทับใจ.....และความสำเร็จมาสู่ประเทศ และแฟนๆชาวแบดมินตันแน่นอนครับ ^__^