21 กรกฎาคม 2557

5 เหตุผลที่การแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ ควรมีมากกว่า 2 รายการ


เมื่อท่านผู้อ่านนึกตามหัวข้อ บางท่านอาจสงสัยว่า การแข่งขันระดับชาติ ในกีฬาแบดมินตันบ้านเรา มีการแข่งขันถึง 2 รายการเชียวหรือ?
ซึ่งปกติในการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติที่เรารู้จักโดยทั่วไปจะมีรายการใหญ่คือรายการ SCG THAILAND OPEN ซึ่งจะจัดการแข่งขันในช่วงต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี (แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง ในหลายๆปี เราจึงงดจัดการแข่งขันฯ) ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
เรายังมีการแข่งขันระดับนานาชาติระดับเล็กๆอีกรายการหนึ่งคือ THE SMILING FISH INTERNATIONAL SERIES ซึ่งจัดการแข่งขันช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม ของทุกปี ณ จังหวัดตรัง รายการดังกล่าวถือเป็นรายการใหญ่และมีนักกีฬาระดับเยาวชนทั้งของไทยและต่างประเทศมาทำการแข่งขันเป็นจำนวนมาก

คำถามคือ.......มี 2 รายการในแต่ละปี เพียงพอไหม?

โดยส่วนตัวของผู้เขียนมองว่ามีเหตุผลหลายอย่างที่ประเทศไทยควรเพิ่มการจัดการแข่งขันฯให้มากกว่าเดิม และขอสรุปป็นหัวข้อใหญ่ๆ 5 เหตุผล มารับใช้ท่านผู้อ่านดังนี้ครับ
1. พัฒนาฝีมือของนักกีฬาไทยให้เข้าถึงเกมส์การแข่งขันระดับที่สงขึ้น อย่างทั่วถึง

   แท้จริงแล้วนักกีฬาไทยในระดับเยาวชนมีความสามารถหลายคน และบางคนมีโอกาสพัฒนาเป็นกำลังหลักสำคัญให้กับทีมชาติไทยในโอกาสต่อไปได้ แต่ก็มักจะติดในเรื่องปัญหาโลกแตกต่างๆ เช่น เน้นการเรียนเป็นสำคัญเมื่อโตขึ้น ขาดการสนับสนุน ฯลฯ และอีกประการหนึ่งคือ ขาดโอกาสในการแข่งขันในเกมส์ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งแมตท์การแข่งขันในประเทศไทยมีเยอะก็จริง แต่นักกีฬาเหล่านี้เห็นหน้า เห็นฝีมือกันมาตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ขวบแล้ว ซึ่งถ้าตระเวนแข่งขันทั่วประเทศไทย เด็กเหล่านั้นรู้ฝีมือกันหมด ถึงเวลาที่เด็กๆเหล่านั้นต้องไปพบกับคู่ต่อสู้ต่างชาติและรับมือกับความละเอียดในการเล่น ความแข็งแกร่ง ความอดทน (ซึ่งเด็กไทยยังไม่แข็งแกร่งเท่า แต่สามารถพัฒนาได้) เสียบ้าง
   แต่ด้วยเหตุผลที่รายการใหญ่ระดับ THAILAND OPEN เป็นรายการระดับ GRAND PRIX GOLD ซึ่งผู้ที่จะเข้าทำการแข่งขันรายการนี้ได้ ต้องมีคะแนนสะสมของโลก เพียงพอที่จะทำการแข่งขันได้ ทำให้นักกีฬาไทยสูญเสียโอกาสที่จะสัมผัสเกมส์การเล่นระดับนี้ไปมากพอสมควร
2. ลดค่าใช้จ่ายในการส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันยังต่างประเทศ

   ด้วยเหตุที่การแข่งขันระดับนานาชาติมีน้อย จึงต้องส่งแข่งยังต่างประเทศ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อคนที่จะส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันนั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ไหนจะค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ากิน ค่าอยู่ในประเทศนั้นๆเป็นเวลาอีกหลายวันอีก ซึ่งในปัจจุบันหลายๆสโมสรมีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนอยู่บ้างประปราย       
  แต่เขาจะอยู่อีกนานแค่ไหนกันหล่ะ?
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับผลงานของนักกีฬาเอง เมื่อได้รับโอกาสไปแข่งขัน จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ทำให้สโมสรเห็นถึงศักยภาพของตัวเองมากแค่ไหน นั่นอยู่ที่ตัวของนักกีฬาเองที่จะพิสูจน์ฝีมือในสนามแข่งขัน
3. กระตุ้นและพัฒนาให้กีฬาแบดมินตัน เป็นกีฬาอาชีพ
แบดมินตันอาชีพเคยมีในเมืองไทยแต่ขาดการสนับสนุนที่ต่อเนื่อง จึงต้องยกเลิกไป
   เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แล้วในกีฬาฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก (ดิวิชั่น1 และ 2 ยังเป็นลักษณะกึ่งอาชีพ) ซึ่งแท้จริงแล้วผู้เขียนมองว่า กีฬาบุคคลอย่าง แบดมินตันเป็นกีฬาอาชีพ ที่สามารถพัฒนาเป็นกีฬาอาชีพได้ เพราะแต่ละบุคคลก็มีฐานของแฟนคลับอยู่มากพอสมควร ซึ่งในช่วงต้นปี 50 การแข่งขันแบดมินตันอาชีพฯ ได้เริ่มต้นการแข่งขันมาบ้างแล้ว แต่ก็ต้องสิ้นสุดลงเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ที่จะเข้ามาดูแลเรื่องงบดุลการจัดการแข่งขัน และเงินรายได้จากการแข่งขันของนักกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลัก ซึ่งนั่นเป็นแหล่งเงินทุนที่ไม่เพียงพออยู่แล้ว)
   ท่านผู้อ่านเคยดูการแข่งขันแบดมินตันลีกอาชีพ ของ อินเดีย หรืออินโดนีเซียสิครับ ทำไมเขาถึงทำได้ ทำไมเขามีความสามารถในการจ้างนักกีฬาระดับท็อป 1-10 ไปแข่งได้ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในประเทศ และทั้งต่างประเทศ(รวมทั้งตัวผู้เขียน) มากมายขนาดนั้น  ผมเชื่อว่าประเทศไทยถ้าปรับปรุงเรื่องระบบการบริหารงานดีๆ สามารถทำได้ครับ (คืนความสุขให้ประชาชน อิอิ)
แบดอาชีพฯที่อินโดนีเซีย ดึงน้องครีมไปแข่งขัน
และความแชมป์มาครองในปี 2014
ลีกอาชีพ ที่อินเดีย ดึงนัักกีฬาระดับโลกเข้าร่วมแข่งขันมากมาย
4. พัฒนากรรมการสนามของประเทศไทย

   ผู้ตัดสินของประเทศไทยในปัจจุบัน มีทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ หากมีการแข่งขันในประเทศที่เพียงพอแล้ว กรรมการสนามเหล่านี้ย่อมได้รับโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ได้มากขึ้น ทั้งการนั่งเป็นกรรมการกำกับเส้น ระบบเทคนิคสนามและการแข่งขัน ให้มีความเป็นสากลและปฏิบัติงานในระดับต่างๆได้อย่างไหลลื่น ได้รับการไว้วางใจในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
5. กระจายสปอนเซอร์
   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตั้งแต่น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ คว้าแชมป์โลกประเภทหญิงเดี่ยวเมื่อปี 2013 (ที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ) บรรดาบริษัท ห้างร้าน ต่างรุมจับจ้องกีฬาแบดมินตันกันชนิดตาเป็นมันเลยครับ พร้อมจะสนับสนุนกีฬาแบดมินตันในรูปแบบต่างๆอย่างเต็มที่ แต่ด้วยรากฐานของผู้สนับสนุนเดิมที่ค่อนข้างเหนียวแน่น จึงเป็นเรื่องยากที่บรรดาผู้สนับสนุนเหล่านั้นจะเจาะฐานผู้สนับสนุนเดิมได้
   วิธีนี้สามารถแก้ไขได้โดยการจัดการแข่งขันฯในระดับอื่น ไม่ว่าจะเป็น ระดับ GRAND PRIX, CHALLENCE , INTERNATIONAL และเปิดให้ผู้สนับสนุนใหม่ที่พร้อมจะสนับสนุน มาเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ในรายการนั้นๆ รับรองได้ว่าการแข่งขันในระดับนานาชาติเกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นดอกเห็ดอย่างแน่นอนครับ

สุดท้ายนี้ผมขออยากเรียนให้ท่านผู้อื่นทราบถึงสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของบรรดาต่างประเทศให้ทราบดังนี้ครับ
-   ประเทศเวียดนาม มีการแข่งขันระดับนานาชาติ 3 รายการในปี 2014 คือ GRAND PRIX, CHALLENCE, และ INTERNATIONAL
-    ประเทศออสเตรเลียที่ไม่ได้มีนักกีฬาระดับโลกสูงเท่าเมืองไทย ทำไมถึงได้จัดการแข่งขันระดับ SUPER SERIES ?

-       เมืองที่แบดมินตันยังไม่พัฒนาเท่าที่ควรอย่าง ดูไบ ทำไมถึงได้จัดการแข่งขันระดับ SUPER SERIES FINAL (Destination Dubai) ติดต่อกันถึง 4 ปี ?

เราพลาดอะไรตรงไหนไปครับ?...............................
เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างหรือไม่ครับ?.........................................

เป็นเรื่องน่าคุ้มที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เล่น.....มิใช่หรือครับ? ^___^


ขอขอบคุณ
รูปภาพประกอบจาก smasherteam.blogsport.com , www.badzine.net , www.ciputrahanoi.com.vn
                                  zimbio.com , /www.thehindu.com/ , www.onebadmintonacademy.com

17 เมษายน 2555

จะจบอย่างไร?

   
   กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สามารถไปทำหนังได้เลยทีเดียว กับกรณีของบัวขาว ป.ประมุก (สมบัติ บัญชาเมฆ) ซึ่งหลังจากวันที่ 17 เมษายน 2555 เจ้าตัวได้ขึ้นชกมวยในรายการ ไทยไฟต์ THAI FIGHT ซึ่งเป็นศึกมวยรายการใหญ่ และได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก


       ซึ่งเรื่องราวย้อนหลังทุกท่านสามารถอ่านข่าวได้จากสื่อต่างๆทั่วไป เพราะทุกคนให้ความสนใจกับกรณีดังกล่าวอยู่แล้ว....ผมจึงขออนุญาตไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า  แต่เนื่องจากมีเพื่อนๆของผมหลายคนสงสัยกับกรณีที่เกิดที่บัวขาวขึ้นชกรายการดังกล่าว และหลังเกมมีการให้สัมภาษณ์...และเกิดวลีเด็ด ที่เด็ดกว่าคำว่า "เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่ !" เป็น "ถึงวันพรุ่งนี้ผมต้องติดคุก...ผมก็ยอม" 


   

       หลายคนสงสัยว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร หรือว่าประเด็นสำคัญของเรื่องคืออะไร..........ผมคงต้องขอมารับใช้ให้ผู้อ่านได้ทราบอย่างคร่าวๆดังนี้ครับ


       การดำเนินการแข่งขันมวยไทยในประเทศไทย นั้น มีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคอยดูแลรับผิดชอบในทุกๆส่วน ซึ่งก็คือ สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ในการดูแลและควบคุมการแข่งขันมวยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง และรวมไปถึงการดูแลสิทธิและสวัสดิภาพของบุคลากรในวงการกีฬามวย ทั้งนักมวย อดีตนักมวย ผู้ฝึกสอน หัวหน้าค่าย ผู้ตัดสิน ผู้จัดรายการแข่งขัน ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมให้เกิดความเท่าเทียมและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ........ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติกีฬามวย พุทธศักราช 2542 (และมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขเรื่อยมา)


       การที่นักมวยจะเข้าแข่งขันในสนามมวยมาตรฐาน (ลุมพินี ราชดำเนิน อ้อมน้อย) นั้นนักมวยจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นนักมวยไว้กับสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย ซึ่งในส่วนของการขึ้นทะเบียนนั้น มีเอกสารอยู่ 1 ฉบับซึ่งเรียกว่า "สัญญาสังกัดค่ายมวย" ซึ่งเป็นสัญญาที่ทำขึ้นผูกไว้กับค่ายมวยต้นสังกัด เปรียบเสมือนเป็นการลงนามความร่วมมือ และปกป้องสิทธิประโยชน์ของตัวนักมวยและหัวหน้าค่ายหากมีการฝ่าฝืนหรือผิดสัญญา  ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องได้ตามสัญญา         ซึ่งสัญญาที่ผูกมัดนักมวยกับทางค่ายนั้น หากเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 15 ปีบริบูรณ์ จะมีสัญญาในการทำแต่ละครั้งไม่เกิน 8 ปี 


       จากกรณีก่อนหน้าที่บัวขาว ป.ประมุกได้หนีออกจากค่ายไม่ทำการฝึกซ้อม หรือจะขอลาออกจากค่ายก็สุดจะแล้วแต่.........ประเด็นนี้ต้องไปดูสัญญาที่ทำกับสังกัดว่ายังเหลือสัญญาจากที่บันทึกไว้อีกกี่ปี ซึ่งถ้ายังไม่ครบ กรณีนี้ทางค่ายสามารถเรียกค่าเสียหายได้


       กรณีถัดมา นักมวยขึ้นชกในรายการไทยไฟต์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 นั้น นักมวยทำผิดกับสัญญาอย่างชัดเจน ขออนุญาตยกหัวข้อในสัญญา (ซึ่งผมเขียนไปนั่งอ่านสัญญาไป ^^) ดังนี้ครับ
       ข้อ 7. หัวหน้าค่ายมวยตกลงจะส่งเสริม สนับสนุนนักมวยได้เข้าร่วมการแข่งขัน โดยจะต้องเสนอชื่อนักมวยซึ่งไม่อยู่ในระหว่างถูกลงโทษให้พักการแข่งขัน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจำตามความเหมาะสม
       หัวหน้าค่ายตกลงจะปกป้องสิทธิของนักมวยตามกฎหมาย และจะต้องแจ้งการกำหนดเงินรางวัลค่าตอบแทนในการแข่งขันกีฬามวยแต่ละครั้งให้นักมวยทราบ ก่อนที่จะทำหลักฐานเป็นหนังสือกับผู้จัดรายการแข่งขันมวย


       พิจารณาจากเหตุการณ์และข้อสัญญาผมขอสรุปก็คือ  เป็นหน้าที่ของค่ายมวยในการพิจารณาส่งนักมวยในสังกัดเข้าร่วมการแข่งขันในรายการต่างๆนั่นเอง  แต่กรณีการขึ้นชกของบัวขาวนั้น เป็นการขึ้นชกโดยไม่ได้รับความเห็นชอบของค่ายมวย และชื่อที่ใช้ในการชกก็ยังใช้คำลงท้ายว่า ป.ประมุก ในการแข่งขัน


       ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีการกระทำผิดตามสัญญาอย่างชัดเจน  และะเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อแก้ตัว


       ในส่วนของบทลงโทษนั้นไม่มีระบุในพระราชบัญญัติกีฬามวย แต่ระบุไว้ในข้างท้ายของสัญญาสังกัดค่ายมวยดังนี้
       ข้อ 14. ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับข้อกำหนดแห่งสัญญานี้ หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ และคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสนอข้อโต้แย้ง หรือข้อพิพาทนั้นต่อนายทะเบียนเพื่อไกล่เกลี่ย หากคู่สัญญายังไม่สามารถตกลงกันได้ ให้เสนอเรื่องต่ออนุญาโตตุลากรเพื่อพิจารณาชี้ขาด คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้ถือเป็นเด็ดขาด และถึงที่สุดผูกพันคู่สัญญา


       ซึ่งในส่วนนี้ สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย เป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุด ซึ่งเรื่องคดีความจากกรณีของนักมวยหนีออกจากค่ายไปนั้น เรื่องก็ยังอยู่ในการไกล่เกลี่ยของการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งประเด็นแรกยังหาข้อสิ้นสุดไม่ได้.......ก็เกิดกรณีที่ 2 ขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นได้


       หลายคนยังแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวโดยภาพรวมว่า สัญญาดังกล่าวเป็นธรรมหรือไม่?? .......ผมต้องขอเรียนให้ผู้อ่านได้ทราบว่า สัญญาถูกเขียนขึ้นมาอย่างกว้างๆ และมีความยืดหยุ่นดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์อะไรมากมาย เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อป้องกันและรักษาสิทธิประโยชน์ในเบื้องต้นเท่านั้นครับ


       ถ้าถามถึงความคิดเห็นส่วยตัวต่อเรื่องนี้ ผมคิดว่าบัวขาวผิดอย่างชัดเจนนะครับ.........ถึงจะไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร เป็นเพียงแค่การทำผิดตามสัญญาเพียงเท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว  ด้วยความที่ว่า ที่นี่คือเมืองไทย สุดท้ายบัวขาวจะไม่ติดคุกอย่างแน่นอน และคงต้องทิ้งท้ายว่านี่แหล่ะครับ...คือสเน่ห์ของคำว่า"นักกีฬามืออาชีพ"อย่างแท้จริง


       วันนี้ขอรับใช้ในส่วนของกรณีที่เกิดขึ้นและเป็นที่สนใจในเบื้องต้นก่อน ไว้โอกาสหน้าผมจะมารับใช้เพิ่มเติม ในส่วนของสภาพโดยทั่วไปของกีฬามวยในบ้านเราให้ละเอียดมากขึ้นนะครับ  ขอบคุณที่ติดตาม


       

21 กุมภาพันธ์ 2555

นักกีฬา กับ หมาล่าเนื้อ


       อย่าเพิ่งสงสัยครับว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร......แต่สำหรับคนกีฬาหรือตัวนักกีฬาเองหลายคนคงจะพอเข้าใจกับประโยคข้างต้นที่ผมเขียนไว้ครับ

       หลายปีก่อนตอนช่วงที่ผมยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ.....ที่ต้องเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมกีฬาอย่างหนัก เพื่อทำผลงานให้ดี บอกได้คำเดียวว่าชีวิตของตัวผมนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายและคิดอะไรเลยนอกจากการพยายามไขว่คว้าหาความสำเร็จในการแข่งขัน......คิดแค่ว่าถ้าเราทุ่มเทกับการฝึกซ้อม ทำผลงานในการแข่งขันให้ดี เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ มีงาน มีเงิน และสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้จากการเล่นกีฬาว่ายน้ำ

       จนมาวันนึงที่ผมเริ่มรู้สึกตระหนักกับตัวเองได้ว่า.............เล่นกีฬาอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เรามีชีวิต และความเป็นอยู่ที่มั่นคงได้ เนื่องจากมีนักกีฬารุ่นน้องที่เก่งกว่า และทำสถิติได้ดีกว่าเข้ามาแทนที่ เป็นธรรมดาของผู้ฝึกสอนหรือผู้ควบคุมทีมก็ต้องเลือกนักกีฬาที่เก่งกว่าเป็นตัวเลือกในการทำทีม


       มันทำให้ผมได้รู้ตัวเองทันทีว่า ชีวิตของเราจะหยุดอยู่ที่การเล่นกีฬาไปจนแก่ตายไม่ได้แน่ ผมพยายามหาคำตอบให้กับทฤษฎีที่เกิดขึ้นกับตัวเองนี้มานาน จนในที่สุดเมื่อผมได้มีโอกาสเรียนปริญญาโทเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง........อาจารย์ท่านหนึ่งได้ให้คำนิยามที่ท้ายที่สุด  คำนิยามของท่านก็เติมเต็มความคาใจของผมได้ซักที ซึ่งอาจารย์กล่าวว่า "นักกีฬาก็เหมือนหมาล่าเนื้อ.....เมื่อหมดประโยชน์..เขาก็เขี่ยคุณทิ้ง"

       นักกีฬาเยาวชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกีฬาที่ยังไม่ได้เป็นกีฬาอาชีพไม่เคยคิดถึงแผนการใช้ชีวิตอื่นๆเลย นอกจากการเล่นกีฬา อาจจะเป็นเพราะยังเป็นช่วงวัยรุ่นและต้องเอาใจใส่กับการฝึกซ้อมกีฬามากกว่า และมองว่าอนาคตเหล่านั้นยังอีกไกลกว่าจะมาถึงตัวเขา

       แล้วถ้าเกิดว่าวันนึงมันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คุณไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายที่สูงสุดของอาชีพกีฬาของคนได้ คุณจะทำอะไร คุณจะดำรงชีวิจอยู่ในสังคมนี้อย่างไร และคุณจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบตามอย่างที่คุณใฝ่ฝันได้อย่างไร ตัวอย่างของคึนที่ล้มเหลวในชีวิตเพราะพยายามทำตัวเปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อนั้นมีอยู่ทั่วไป

       โปรดมองความผิดพลาดจากผู้อื่น....แล้วเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนสติตัวเองไว้ว่า

"เราไม่สามารถเล่นกีฬาไปตลอดจนแก่ตายได้"


3 พฤศจิกายน 2554

มันผิดตรงไหน??


       กลายเป็นเรื่องขึ้นมาแล้วหล่ะสิครับ......กับข่าวในกรณีที่เกิดการหลุดของงูชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปในแถบแอฟริกา ซึ่งเกิดจากความบกพร่องของผู้ที่นำมาเลี้ยง (ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ไม่อาจรู้ได้) ได้ทำสัตว์เลี้ยงของเค้านั้นหลุดไป ซึ่งก็คืองู กรีนแมมบ้า จำนวนหลายสิบตัว

       คำถามที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผมเป็นสิ่งแรกคือ..........การนำสัตว์ที่ไม่มีอยู่ในประเทศของเราเค้ามาในประเทศไทยนั้น มันมีระบบขั้นตอนในการตรวจสอบยังไง? ...........ใครจะนำสัตว์อะไรมาเลี้ยงก็ได้อย่างนั้นหรือไม่? นั่นเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมานานพอสมควรแล้วเนื่องจาก ถ้านำสัตว์เหล่านี้เข้ามา มันก็ควรมีการตรวจสอบ รวมถึงการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง 
"ไม่ใช่ว่าใครมีเงินก็สามารถเลี้ยงได้หมดทุกอย่าง"

     ผมเชื่อว่าในประเทศไทยยังมีสัตว์เลี้ยงผิดกฎหมายอีกหลายชนิด ที่มีคนนำมาเลี้ยงกันอย่างผิดกฎหมาย และเมื่องูชนิดนี้ได้หลุดออกไปอยู่ตามพื้นที่ตามธรรมชาติแล้ว....เราก็ได้แต่ภาวนาว่า เราจะจับมันได้หมดหรือไม่? (ซึ่งมันก็ไม่น่าจะหมดได้ง่ายๆ) 

       ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงประชาชน เริ่มตื่นตัวให้ความสำคัญกับงูชนิดนี้กันมากขึ้น มีการประกาศทั้งจับเป็นและจับตายกับงูชนิดนี้ (ซึ่งข่าวล่าสุดวันที่ 4 พ.ย. 54 สามารถสังหารงูชนิดนี้ได้แล้ว 1 ตัว) ประชาชนเริ่มตื่นตัวและระแวงกับงูชนิดนี้มากขึ้น เนื่องจากมันมีลักษณะสีคล้ายงูเขียว แต่พิษร้ายกาจมากกว่า และอันตรายกว่า ที่สำคัญ ยังไม่มีเซรุ่มรักษาในเมืองไทย ....................... หลังจากข่าวการสังหารงูได้เกิดขึ้นทำให้ผมสงสัยกับประเด็นที่ว่า......  
"งูกรีนแมมบ้ามันผิดอะไร ?"
       ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศนี้........ถูกลักพาตัวมายังประเทศนี้.......ถูกนำมาเลี้ยงทั้งๆที่วิถีชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ถูกเลี้ยง.......สุดท้ายมนุษย์ก็กำลังจะรุมฆ่าฉัน !!! .................... มันก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่แปลกดีนะครับ....ถ้างูมันพูดได้มันคงจะถามกับเราไปแล้ว

       เราคงเคยได้ยินกำคำถามเวลาเราถามมนุษย์กันเองกับคำถามที่ว่า.....คุณเกลียด หรือสัตว์ชนิดใดน่ากลัวมากที่สุด ??  หลายคนก็จะตอบว่า "ชั้นเกลียดตุ๊กแก เกลียดแมลงสาบ เกลียดคางคก งู ฯลฯ"

       แต่สำหรับผมแล้ว......สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือ .... มนุษย์ !! นั่นแหล่ะครับ
มนุษย์.........เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาเพียงไม่กี่ล้านปี แต่ทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกเลวร้ายลงได้ในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี

มนุษย์.........เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไรความปราณี

มนุษย์........สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆเพื่อสนองความต้องการต่อการอุปโภคและบริโภคของตนเอง

 เพราะฉะนั้น.....มนุษย์อย่างเราๆนี่แหล่ะ คือฆาตกรอย่างแท้จริง.......ต่อทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก.....
       นี่หรือคือการกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก....จากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ.....หรือสิ่งมีชีวิตผู้มีอารยธรรม

       จะต้องมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายเท่าไหร่ ??  ที่จะต้องสังเวยต่อความต้องการอันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์??............   เมื่อไหร่มนุษย์เราจะรู้จักพอ ??


 (จริงๆแล้วบล็อคนี้เป็นบล็อคที่เขียนในเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬา ซึ่งผู้เขียนถนัด แต่กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผู้เขียนอยากเขียนขึ้นเพื่อเตือนสติเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง.....หากเกิดความผิดพลาดในข้อมูล ผู้เขียนขอน้อมรับทุผิดกประการ....)

20 กันยายน 2554

SCG All thailand badminton championship 2011


       ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ที่สำคัญของประเทศไทย ในรายการ  SCG All thailand badminton championship 2011 ซึ่งเป็นรายการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ผมคิดว่ารายการนี้มีความสำคัญต่อนักกีฬาแบดมินตัน เพราะรายการนี้เป็นการแข่งขันที่มีความสำคัญมากกว่าการได้เงินรางวัล แต่ถือเป็นศักดิ์ศรี และเกียรติยศสูงสุดของการเป็นนักกีฬาโดยแท้จริง ที่จะได้ครองถ้วนพระราชทานนี้

      นักกีฬาแต่ละคนจึงต้องทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่ในรายการแข่งขันนี้ ซึ่งจัดการแข่งขันที่ MCC Hall เดอะมอลล์บางกะปิระหว่างวันที่ 13 - 18 กันยายน 2554 ซึ่งผลการแข่งขันในรายการนี้ ผู้เขียนเองนั้นในบางรายการก็เป็นไปตามที่ผู้เขียนคาดเดาไว้ว่าใครจะได้แชมป์ แต่ในบางรายการก็สร้างความประหลาดใจเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ชนะในแต่ละประเภทขอรวบรัดสรุปดังนี้


       ประเภทชายคู่ชนะเลิศได้แก่ บดินทร์ อิสสระ และมณีพงศ์ จงจิตร  ที่โชว์ฟอร์มได้สมราคากับตำแหน่งชนะเลิศประเภทชายคู่กีฬามหาวิทยาลัยโลก  ประเทศ จีน  ล่าสุด ซึ่งสามารถเอาชนะ ปฏิพัทธ์ ฉลาดแฉลม และ นิพิธพนธ์ พวงพั่วเพชร ไปอย่างสนุก 

       ประเภทหญิงคู่ ชนะเลิศตกเป็นของนักแบดมินตันมากประสบการณ์อย่าง       กุญชลา วรวิจิตรชัยกุล และ ดวงอนงค์ อรุณเกษร สามารถเอาชนะนักแบดมินตันรุ่นน้องทีมชาติอย่าง เนศรา สมศรี และ สาวิตรี อมิตรพ่าย ซึ่งในฝ่ายหลังนั้นในปัจจุบันเดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การแข่งขันยังต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง

       ประเภทหญิงเดี่ยว "มิ้ง" สลักจิต พลสนะ นักแบดมินตันผู้น้องของบุญศักดิ์ พลสนะ ยังแสดงให้เห็นว่าฝีมือในการเล่นยังมีมารตรฐานดีอยู่เสมอ เมื่อสามารถเอาชนะนักแบดมินตันรุ่นน้องอย่าง ณิชาอร จินดาพล ได้อย่างสูสี 

       ในประเภทคู่ผสมเป็นไปตามคาดเมื่อ ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ และ กุญชลา วรวิจิตรชัยกุล อาศัยฟอร์มการเล่นที่เข้าขากันเป็นอย่างดี และประสบการณ์ในการแข่งขันที่มีมากกว่า เบียดเอาชนะคู่ของ        มณีพงศ์ จงจิตร และ สาวิตรี อมิตรพ่าย ซึ่งในเกมที่สาม ทั้งทรงพลและกุญชลาได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและประสบการณ์ที่มากกว่าเอาชนะได้อย่างขาดลอย

       ซึ่งผิดคาดสำหรับผู้เขียนในประเภทชายเดี่ยว ซึ่งสัพพัญญู อวิหิงสานนท์ นักแบดมินตันซึ่งคว้าเหรียญทองในกีฬามหาวิทยาลัยโลกครั้งล่าสุดที่ประเทศจีน สามารถเค้นฟอร์มเก่งเอาชนะนักแบดขวัญใจมหาชน "ซูเปอร์แมน" บุญศักดิ์      พลสนะ ไปอย่างสนุก 2 - 1 เกม สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ทั้งสนามในวันนั้น ซึ่งผิดคาดกับฟอร์มในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่สามารถเบียดเอาชนะ            นักแบดมินตันรุ่นน้ิองอย่าง "เจ้าเพชร" โฆษิต เพชรประดับ ในชนิดที่เรียกว่า      หืดขึ้นคอ

       ในรายการนี้ก็เหมือนเช่นทุกที ผมได้เป็นกรรมการตัดสินในรายการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้านับความอาวุโสของผู้ตัดสินแล้ว ผมถือเป็นน้องเล็กที่สุดในการตัดสินรายการนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ที่ได้รับเกียรติในการปฏิบัติหน้าที่ตัดสินในรายการสำคัญของประเทศไทย ซึ่งรายการนี้นอกจากได้รับประสบการณ์จากการตัดสิน ในเรื่องของการแข่งขันผมก็ติดตามผลการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ได้มีโอกาสได้ดูนักกีฬาที่มากประสบการณ์ หรือเด็กที่กำลังฝึกฝนประสบการณ์ที่จะเป็นกำลังหลักสำคัญของชาติในอนาคต ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้ผมอยู่หลายประเด็น จึงขอเลาะขอบสนามแบดมินตันดังนี้ครับ

ณัฐพล  สารวัลย์ (ซ้ายสุด)
       สิ่งแรกที่ผมค่อนข้างประหลาดใจก็คือ ชายที่ชื่อว่า ณัฐพล สารวัลย์ ในวัยเลข 3 เข้าไปแล้ว (จำไม่ได้ว่าอายุพี่เขาเท่าไหร่ แต่น่าจะ 35)  ซึ่งในรายการนี้เขาสามารถปราบเด็กนักกีฬาวัยรุ่นได้ถึง 3 คนด้วยกัน เริ่มจาก อภิสิทธิ์ แซ่เตียว จาก สิงห์ เอช เอช , บุญยกร ธรรมพานิชวงศ์ จากเคซี , และ นนท์ปกรณ์ นันทธีโร จากบ้านทองหยอด ซึ่งนักกีฬาเยาวชนเหล่านี้ ถือเป็นมืออันดับต้นๆอยู่ในรุ่นเยาวชนทั้งสิ้น ด้วยสไตล์การเล่นที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อนเข้าทำคะแนน เล่นอย่างใจเย็นสุขุมและประสบการณ์ที่มากกว่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้สามารถเบียดเอาชนะนักกีฬาเ้หล่านี้ไปได้ เพราะนักแบดมินตันวัยรุ่นมีความใจร้อนเป็นปกตินิสัยอยู่แล้ว เมื่อเจอคนที่มีประสบการณ์มากกว่าทำให้การเล่นของตัวเองเกิดความผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ........... แต่ท้ายที่สุดแล้วในรอบ 16 คน ณัฐพล สารวัลย์ ก็ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของแชมป์ในรายการนี้อย่าง สัพพัญญู อวิหิงสานนท์ ไปได้

             ซึ่งนี้ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า........อายุไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเล่นกีฬาชนิดนี้จริงๆแล้วตัวผู้เขียนจะรอดูและติดตามผลงานของชายที่ชื่อว่า ณัฐพล  สารวัลย์ต่อไป ครับ


สุจิตรา เอกมงคลไพศาล (ซ้าย)
       อีกคนหนึ่งที่ตัวผู้เขียนยังทึ่งในความสามารถของเธออีกเช่นกันคือ พี่ตา หรือ สุจิตรา เอกมงคลไพศาล เธอคนนี้เคยสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้กับคนไทยเมื่อในอดีต จากการเป็นนักแบดมินตันทีมชาติไทย ที่ต้องลงแข่งขันกีฬาซีเกมส์ทั้งๆที่ยังมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่า จนมาทุกวันนี้แม้อาการบาดเจ็บจะไม่มีทางหายได้อย่างสนิท แต่ก็ยังมีดีพอที่จะลงแข่งขันต่อได้ในประเภทคู่จนทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแต่ก็ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผู้เขียนให้ความสำคัญและขอยกย่องในฝีมือมา ณ ที่นี้

       ข้ามฟากมาดูที่เด็กในรุ่นเยาวชนกันบ้างมีนักกีฬาอยู่ 2 คนที่ผมค่อนข้างสนใจและรอติดตามผลงานอยู่ ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นนักกีฬาที่ฝึกซ้อมในสังกัดเยาวชน SCG Academy นั่นเอง ซึ่งในช่วงที่ทั้งสองคนนี้เข้าฝึกซ้อมในสังกัด SCG นี้ สังเกตุได้ว่า สามารถพัฒนาฟอร์มการเล่นได้ดีขึ้นอย่างเป็นลำดับขึ้นมาเรื่อย
โฆษิต เพชรประดับ 

       คนแรกเป็นนักกีฬาที่ก่อนจะเข้ามาอยู่ค่ายเยาวชน SCG เคยเป็นนักแบดมินตันสโมสรเชียงใหม่มาก่อน เป็นนักกีฬาที่มีความแข็งแรงมาก แม้จะตัวเล็กถ้าเทียบกับเด็กในอายุไล่เลี่ยกัน สไตล์การเล่นมีเกมการเล่นที่เหนียวแน่นทั้งเกมรับและเกมรุก สร้างผลงานในรายการนี้จากการเอาชนะ นักแบดมินตันรุ่นพี่อย่าง ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ในรอบก่อนรองชนะเลิศได้อย่างสูสี ซึ่งในการแข่งขันแมตท์นั้นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นในตัวเด็กคนนี้ได้เลยว่า เขาพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ในอนาคตได้อย่างสบาย 
สิทธิคม ธรรมศิลป์

       นักกีฬาอีกคนหนึ่งที่ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เริ่มตัดสินแบดมินตันใหม่ๆ ตั้งแต่เด็กคนนี้ยังเล่นอยู่ในรุ่น 13 ปี  (ที่รู้จักดีเพราะเวลาไปตัดสินแบดมินตันตามสนามอื่นหรือต่างจังหวัด แม่ของเด็กคนนี้จะไปขายก๋วยเตี๋ยวเป็นประจำ ซึ่งลูกชิ้นร้านแม่เค้าอร่อยมาก ^^) ซึ่งในปัจจุบัน ตัวน้องคนนี้ก็น่าจะอายุประมาณ 16 ปี ในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวตกรอบ 16 คนสุดท้าย เพราะไปแพ้ให้กับภควัฒน์  วิไลลักษณ์ไปอย่างสนุก ศึ่วน้องเค้ามีสไตล์ในการเล่นที่ต่างไปจากโฆษิต เพชรประดับ คือชอบเล่นเกมบุกมากกว่า ทำให้รูปแบบการเล่นบางครั้งไม่มีความแน่นอน และยังติดเล่นมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นเพราะด้วยวัยในระดับนี้สมาธิในการแข่งขันจึคงยังมีไม่เพียงพอเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ก็เป็นได้ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งเวลาและประสบการณ์จากการแข่งขันต่อไป 

       และนี่ก็เป็นการเลาะขอบสนามแบดมินตันอีกครั้งหนึ่งของผู้เขียน เป็นทั้งการรายงานสรุปผลการแข่งและการให้ข้อมูลแนะนำนักกีฬาที่เด่นๆในแต่ละรายการ ซึ่งรายการต่อไปจะเป็นที่ใดโปรดติดตามตอนในโอกาสหน้า 

ขอบคุณที่ติดตามครับ ^__^



 

10 กันยายน 2554

สรุปเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย

ปริญญานิพนธ์
เรื่อง
การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้าในนักวิ่งระยะ 1,500 เมตร
นายโรม  วงศ์ประเสริฐ
พลศึกษา คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



1. มีหลักการและขั้นตอนในการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร

          สื่อเละเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาและวิจัยในครั้งนี้คือ การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้าในนักวิ่ง ซึ่งโปรแกรมการฝึกนี้ได้มีผู้ริเริ่มแนวคิดและทฤษฎีสำหรับการพัฒนาการฝึกกีฬามาอยู่ก่อนบ้างแล้ว ผู้วิจัยเองนั้นได้นำแนวคิด หลักการและทฤษฎีมาปรับใช้ให้เข้ากับกีฬาที่เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นคือกีฬากรีฑา โดยทำการทดสอบโดยแบ่งกระบวนการวิจัยเชิงทดลองออกเป็น 3 กระบวนการดังนี้
          1.1 กระบวนการทดลองระยะที่ 1 ใช้ระยะเวลา 3 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือนักกรีฑาทั้งชายและหญิงจำนวน 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มๆละ 20 คนแล้วทำการฝึกแยกกลุ่ม
      - โปรแกรมการฝึกต่ำกว่าระดับจุดเริ่มล้า (90 % ของอัตราการเต้นของหัวใจที่ระดับจุดเริ่มล้า)  20 คน
      - โปรแกรมการฝึกในระดับจุดเริ่มล้า 20 คน(100%ของอัตราการเต้นของหัวใยจที่ระดับจุดเริ่มล้า)
      - โปรแกรมการฝึก
ระดับสูงกว่าจุดเริ่มล้า (110%ของอัตราการเต้นของหัวใจที่ระดับจุดเริ่มล้า) 20 คน
แล้วเปรียบเทียบดูทั้ง 3 กลุ่มตัวอย่างว่ากลุ่มใดมีระดับของผลที่มีมากต่อการพัฒนาจุดเริ่มล้ามากที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการทดลองกับกลุ่มนักกีฬาที่ต้องการความเข้มข้นของการฝึกสูงขึ้น
          1.2 กระบวนการทดลองระยะที่ 2 ระยะเวลา 3 เดือน เป็นการนำโปรแกรมที่วิจัยแล้วว่าเกิดผลดีที่สุดมาใช้กับการฝึกกลุ่มนักกีฬากรีฑาประเภทวิ่ง 1,500 เมตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการจะศึกษาจำนวน 16 คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ประกอบไปด้วย
          - โปรแกรมการฝึกในระยะทั่วไป (General Phase) 3 สัปดาห์
          - โปรแกรมการฝึกในระยะเฉพาะ (Specific Phase) 7 สัปดาห์
          - โปรแกรมการฝึกในระยะการแข่งขัน (Competition Phase) 2 สัปดาห์
          1.3 กระบวนการศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) ซึ่งในกระบวนการนี้เป็นกระบวนการศึกษาร่วมกับกระบวนการทดลองระยะที่ 2 โดยเฉพาะกับนักกีฬาทีมชาติไทย ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนาระยะทาง 1,500 เมตร เพื่อนำไปสู่พัฒนาการระยะ 5,000 เมตร ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ปี 2003
          ซึ่งแนวคิด หลักการ และทฤษฎีในการศึกษาตลอดจนถูกออกแบบมาเป็นโปรแกรมการฝึกในรูปแบบต่างๆนั้นเกิดมาจากความต้องการในการพัฒนาวิทยาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการฝึกกีฬา ต้องการให้นักกีฬามีความสามารถเฉพาะต่อกีฬาที่เล่นมากยิ่งขึ้น โปรแกรมการฝึกจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกีฬาให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุผล และสามารถตรวจสอบหรือทดสอบได้ได้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างแพร่หลายได้ ซึ่งการพัฒนาโปรแกรมการฝึกนี้เกิดขึ้นจากตัวผู้วิจัยที่ต้องการศึกษาในการพัฒนาความแข็งแรง ความอดทนของร่างกายในการวิ่งที่มากขึ้นในการวิ่งระยะทาง 1,500 เมตร ซึ่งการวิ่งระยะทางที่มากขึ้นย่อมที่จะเกิดความล้าที่เพิ่มมากขึ้นในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งถ้าเราไม่มีสมรรถภาพทางกายที่ดีพอ ความล้าในร่างกายอาจถูกกำหนดเป็นตัวชี้วัดในการแข่งขันนี้ได้ เมื่อรวมกับการได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา หรือการแพทย์ ให้คำแนะนำในโปรแกรมการฝึก ยิ่งทำให้งานวิจัยนี้ดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็ถูกพัฒนามาเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างนั่นเอง
 2. มีหลักในการประเมินสู่เทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างไร
          ในการวิจัยครั้งนี้เนื่องจากการทดสอบบางชนิดเป็นการทดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องเคมีทางการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายชนิด ในเรื่องของการวัดค่ากรดแลคติคในการแสเลือด หรือแม้แต่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการวิจัยบางตัวมีราคาสูงมาก ซึ่งผู้วิจัยเองก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยเหลือเก็บข้อมูลทางการวิจัย เช่นการเจาะเลือดเพื่ออ่านค่ากรดแลคติคในกระแสเลือด หรืออุปกรณ์ช่วยวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งสามารถรู้อัตราการเต้นของหัวใจในขณะฝึกได้เป็นอย่างดีตลอดช่วงการทดลอง หรือแม้แต่ในโปรแกรมการฝึกกรีฑาที่จะถูกนำมาปรับใช้ในการฝึกซ้อมกีฬากรีฑานี้เอง ก็ยังต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านกรีฑา หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามาให้คำแนะนำในการออกแบบโปรแกรมการฝึก หรือการนำวิธีการพัฒนาโปรแกรมการฝึกกีฬาไปสู่การฝึกซ้อมกีฬาในชนิดและสาขานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในการฝึกนั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยังมีกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษา (Case Study) ที่จะต้องเตรียมตัวเข้าสู่การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ เพราะฉะนั้น การฝึกของนักกีฬากลุ่มดังกล่าวจะต้องมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ผลการแข่งขันออกมาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
          ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยเป็นแรงเสริมไปสู่การพัฒนาโปรแกรมการฝึกกีฬาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งสิ้น ช่วยปัญหาและเวลาในการใช้เครื่องมือต่างๆ ตลอดจนทำให้งานวิจัยมีความรวดเร็ว สามารถแปรผลจากการฝึกได้เร็ว แม่นยำ และมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น

3. ผลการนำสื่อและเทคโนโลยีการศึกษามาใช้เป็นอย่างไร
          จากการศึกษาวิจัยรวมทั้งหมดแล้วผลปรากฏว่า โปรแกรมการฝึกที่ความหนักของอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าจุดเริ่มล้า สามารถพัฒนาจุดเริ่มล้าได้ดี นั้นก็หมายความว่า ในการฝึกที่ระดับสูงกว่าจุดเริ่มล้านั้น มีผลทำให้เกิดความล้าจากการแข่งขันกีฬาในประเภทกีฬาช้าลง ทำให้นักกีฬามีสถิติการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น แต่งานวิจัยนี้มีข้อที่ควรระวังคือ การพัฒนาโปรแกรมการฝึกนี้ใช้ในกับนักกีฬาที่เข้าแข่งขันระดับประเทศ หรือนักกีฬาเพื่อฝึกเพื่อความเป็นเลิศเท่านั้น ซึ่งในการทดสอบผลการเปลี่ยนแปลงนอกจากจะมีการทดสอบวิ่งตามระยะทางเพื่อหากรดแลคติคจากการวิ่งแล้วนั้น ยังมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายอีกหลายรายการ เพื่อศึกษาถึงผลเปลี่ยนแปลงจากการใช้โปรแกรมการฝึกนี้ ฉะนั้นทั้งนักกีฬาและผู้ฝึกสอนควรศึกษาถึงรายละเอียดในการฝึกให้ดีก่อนนำไปใช้ และให้เกิดการพัฒนาของนักกีฬาจนเองให้มากที่สุด
          การพัฒนาโปรแกรมการฝึกชนิดเพื่อพัฒนาจุดเริ่มล้านับได้ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการพัฒนานักกีฬาระดับเพื่อความเป็นเลิศ เพราะนอกจากจะเป็นการพัฒนาเพื่อนักกีฬาไทยโดยเฉพาะแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกสอนกีฬาชนิดอื่น ในการนำโปรแกรมพัฒนานี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับนักกีฬาของตนเองเพื่อให้เกิดศักยภาพในการเล่นกีฬาอย่างสูงสุด

8 สิงหาคม 2554

ออฟฟิศ....จิตป่วน ^^


       สิ่งพนักงานหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ.....ที่นอกจากจะเหนื่อยกับการทำงานอย่างหนักหน่วง ต้องรับมือกับความกดดันต่อภารกิจหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ แล้วนั้น

       ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่า...บางทีอาจจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในตัวมันเองก็เป็นได้ (ซึ่งบางสำนักงานอาจจะเจออย่างที่ทำงานผมทำอยู่ก็เป็นได้ครับ) นั้นก็คือ.......

การเสนอขายสินค้าขายตรงต่างๆ.......ที่นำมาเสนอสินค้าให้ท่านถึงสำนักงาน !!

       สำหรับตัวผมเองแล้วนั้น การขายสินค้าตรงลักษณะเช่นนี้ ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับงานนี้ครับ......เพราะผมถือว่าเป็นงานที่สุจริต...ไม่ใช่งานที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมของไทย......เมื่อมีใครมาเสนอขายของ หรือให้ทดลองสินค้า ที่ำทำงานผมก็มักจะเปิดโอกาสให้พนักงานขายเหล่านี้ ได้มาขายสินค้าได้ตามปกติ................แต่ต้องอยู่ในขอบเขต...ไม่ขายในขณะเวลาที่เรากำลังทำงานยุ่งกันอยู่

       ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ...ที่บางทีไม่ค่อยจะใส่ใจกับสินค้าอะไรมาก (ยกเว้นป้าขายขนมไทยหาบเร่  ถ้าแกผ่านมาแถวนี้เมื่อไหร่......ถึงแกจะไม่แวะเข้ามาที่สำนักงาน แต่ถ้าผมเห็นก็จะวิ่งไปซื้อกับแกทันที ^^) ถ้าสินค้าบางตัวไม่ได้อยู่ในพื้นฐานความสนใจของเรา.........เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจกับสินค้าที่มาขายตรงต่อเราเท่าที่ควร ผมชอบที่จะเดินเข้าไปเลือกสินค้า ใช้เวลาพิจารณาสินค้ามากกว่านั้นเอง

ที่สำนักงานที่ผมทำงานอยู่นั้นตั้งอยู่ภายในเขตสนามกีฬาจังหวัดลพบุรี...ซึ่งถัดออกไปในบริเวณเหล่านี้ เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดลพบุรี มีทั้งหน่วยงานราชการทั้งของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครอง ที่ว่าการอำเภอ หรือที่ทำการกระทรวง สำนักงานต่างๆ หรือของภาคเอกชน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณแถวนี้แทบทั้งสิ้น  ซึ่งดูแล้วเปรียบเสมือนเป็นทำเลทองในการนำเสนอสินค้าได้เป็นอย่างดี
         ถ้าจะพูดถึงประเภทของสินค้าที่นำมาขายโดยทั่วไป ก็มีอย่างของที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวออฟฟิศ......คือ ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล 555  โดยเฉพาะช่วงก่อนวันหวยออกด้วยแล้วนั้น จะมีบรรดาหนุ่มน้อยสาวใหญ่จากออฟฟิศต่างแห่กันไปมุงดูตามแผงไปหมดครับ...........หรือไม่ก็จะเป็นพวกขายผลิตภัณฑ์ต่างๆสารพัดที่จะหาได้

        ในสำนักงานของผมนั้นก็เป็นอีกที่่ซึ่งไม่รอดจากการนำเสนอขายสินค้าอยู่แล้ว  เช่นการเสนอขายผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดโซฟา และเครื่องหนัง...ซึงพนักงานได้เสนอขายโดยการทดลองเทน้ำยาลงบนโซฟาของสำนักงานเล็กน้อยลงไป....ซึ่งมันได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ แต่ด้วยราคาซึ่งแพงบรมถึงขวดละ 3,xxx บาท พี่ที่สำนักงานจึงไม่มีใครคิดซื้อ.....แล้วพนักงานก็จากไปแต่สิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้คือ........
ความแตกต่างระหว่างรอยที่สะอาด   กับรอยคราบสกปรกซึ่งมันแตกต่างกันชัดมาก
แล้วใครจะขัดออกหล่ะทีนี้ T^T
ใครก็ได้...มาขัดให้ทีครับ T^T

       บางครั้งก็มีน้องๆที่ทำงานชมรมหรือองค์กรอาสาต่างๆมาขอรับการสนับสนุนในการออกค่ายพัฒนาชนบท...ซึ่งสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย...ถึงผมจะไม่ค่อยได้ออกค่ายมากนัก แต่ก็มักจะยินดีที่จะช่วยเหลือโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว......อย่างล่าสุดมีน้องจากชมรมอะไรซักอย่างมาขอให้ช่วยสนับสนุนในการไปออกค่ายเพื่อนำรายได้ไปช่วยสร้างห้องน้ำให้กับโรงเรียนชาวเขา....................แม้ในใจจะสงสัยกับแนวคิดของน้องๆเค้า บวกกับความสงสัยในตัวเองว่า........
โรงเรียนเหล่านี้ไม่มีห้องน้ำมาก่อนรึไงนะ ??? 
มัวแต่เอาเงินไปสร้างอาคารจนลืมสร้างห้องน้ำรึไงนะ??
ไปซื้อจอบให้โรงเรียนแล้วไปขุดหาที่เอาเองก็ได้มั้ง???

แต่ผมก็ยินดีช่วยเหลือกับชมรมนี้ไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก (นอกจากความคิดอุตริในหัว ^^) ในราคา100 .....ซึ่งได้ของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจรูปช้าง ซึ่งตอนหลังผมเรียกเจ้าพวงกุญแจนี้ว่้า
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ...เนื่องจากใช้ได้ไม่ถึง 1 วัน มันก็ขาด......ซะงั้น !!
ตุ๊กตาช้างโง่ๆ ซึ่งหูพวงกุญแจมันขาดไปแล้ว  ไม่รู้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรต่อ

        แต่การนำเสนอสินค้าที่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่าที่ผ่านมามากที่สุด......คือการนำเสนอขายพนักพิงเบาะนวดไฟฟ้า ซึ่งพนักงานได้เสนอขายให้กับพี่ที่ทำงานอีกคนหนึ่งพร้อมแจกเอกสารแนะนำสรรพคุณของเครื่องนวดว่าดีอย่างไร........ตัวผมซึ่งจบมาทางด้านพลศึกษาและผ่านการทำงานฟิตเนสมาครับ ทำให้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร....แล้วพอมองสินค้าแปปเดียวผมก็รู้แล้วครับว่าสินค้ายังมีจุดอ่อนอีกเยอะ  แต่ด้วยความเกรงใจและไม่อยากไปขัดการทำงานกับเค้า...ผมจึงเลือกที่จะนั่งทำงานประจำของผมต่อไป  แต่หูก็แอบฟังการนำเสนอของเค้าไปเรื่อยอย่างตั้งใจ
หน้าตาของเครื่องที่ว่าประมาณนี้ครับ

        และผมก็มาสะดุดกับการนำเสนอสินค้าประโยคหนึ่งที่ว่า
"เมื่อเทียบกับการนวดแผนไทยที่ต้องเสียเวลาไปนวดแผนไทยคราวละหลายชั่วโมงแล้ว...เครื่องนี้สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ภายในเวลาไม่กีนาที  และค่าใช้จ่ายเมื่อเฉลี่ยแล้วตกอยู่เพียงแค่วันละ 16 บาท ต่อปี" ในใจผมคิดทันทีว่า "กะแล้วว่าต้องมาลูกไม้นี้".......ใครมันจะบ้านวดกันได้ทุกวี่ทุกวันครับ

        เพียงเท่านั้นแหล่ะครับ...ผมหมดความอดทนทันที  พร้อมกับเดินเข้าไปหาพนักงานพร้อมสอบถาม
ผม :       พี่ครับ.....เครื่องที่ว่านี้โครงสร้างของเครื่องและลูกกลิ้งที่ใช้นวดข้างใน จะรู้ได้ไงว่ามันพอดีกับขนาดตัวของแต่ละคน ??
พนักงาน : ถ้าน้องอยากรู้ต้องลองดูแล้วหล่ะ....ว่ามันพอดีกับขนาดตัวของน้องมั้ย??

พี่แกพลาดแล้วครับ ! เพราะคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่เป็นจุดอ่อนของพนักพิง หรือเครื่องนวดไฟฟ้าทั่วโลกอยู่แล้วครับ คือ.....ขนาดตัวของคนยุโรป คนเอเชีย ผู้ชายหรือผู้หญิง หรือแม้แต่นักกีฬาหรือเป็นคนธรรมดา ย่อมมีขนาดร่างกายก็ต่างกันอยู่แล้ว....แล้วขนาดของเครื่อง กับ ขนาดของลูกกลิ้งก็มีผลต่อการนวดเหมือนกันครับ.....ผมเคยนวดเครื่องนวดไฟฟ้าที่เป็นเครื่องของคนยุโรป ปรากฎว่าลูกกลิ้งข้างในมันหมุนบดถึงกระดูกสันหลังเลยครับ......แทบจะไม่โดนเส้นเลย......เจ็บมาก !!!
นี่พี่แกเล่นจะขายของอย่างเดียวเลยรึไงนะ??

แต่ผมก็ยังเก็บอาการแล้วยิงคำถามต่อ
ผม : แล้วความหนักในการกดของลูกกลิ้งนี้.......มีแบ่งความเบาหนักในการกดต่างกันมากหรือไม่ครับ??
พนักงาน: ด้วยฟังก์ชั่นในการกดมีความหนักเพียงพออยู่แล้วครับ ^^

ก็พลาดอีกนั่นแหล่ะ !..เพราะร่างกายแต่ละคนรองรับความหนักในการกดได้แตกต่างกันครับ.....ถึงแม้เครื่องจะมีฟังก์ชั่นเพิ่มความหนักเบาในการกดก็จริง แต่ก็อาจไม่พอกับความต้องการในการกดก็ได้ครับ เพราะผมเคยนวดคนที่เส้นอยู่ลึกมากๆ แทบจะต้องใช้แีรงทั้งตัวในการกด เขาถึงจะรู้สึก

        เท่านั้นแหล่ะครับ.......ผมไม่พูดอะไรแต่ผมเดินออกมาเลย.....เพื่อส่งสัญญาณเป็นนัยให้กับพี่อีกคนว่า...มันไม่เวิร์คหรอกครับพี่ ! ซึ่งเค้าก็พอจะเข้าใจความหมายของเราได้.........สุดท้ายพี่เค้าก็ไม่ได้ซื้อจริงๆครับ ^^

        ที่ผมทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมไปขัดขวางไม่ให้พนักงานได้ขายของนะครับ....แต่สินค้าถ้ามันมีจุดอ่อนและมันไม่ครอบคลุมกับความต้องการการใช้งานของเราจริงๆ  จะไปทนซื้อมาใช้ให้หงุดหงิดทำไมครับ?? เชื่อผมเถอะว่ายอมเสียเงิน...เสียเวลามากขึ้น ไปนวดตามร้านนวดแผนโบราณดีกว่าครับ.......ให้หมอนวดได้จับเส้นและช่วยนวดแก้อาหารต่างๆดีกว่าครับ
        การนวดถือเป็นศาสตร์โบราณอย่างหนึ่ง......ที่คนไทยเราสามารถคิดค้นรวมถึงรับเอาวิทยาการมาจากชาติอื่นๆผสมผสานออกมาจนเป็นที่ยอมรับและนิยมใช้อย่างแพร่หลายมาเป็นพันๆปีแล้วครับ......แน่นอนว่าการนวดเพื่อรักษาอาการต่างๆย่อมดีกว่าการใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างแน่นอนครับ ซึ่งแม้ว่าเครื่องนวดไฟฟ้าจะสามารถลดเวลาและสะดวกในการใช้กว่า การเดินทางไปร้านนวดแผนโบราณ หรือการให้ผู้อื่นมานวดให้.........แต่ร่างกายของเรา  มีเพียงร่างเดียวนะครับ ไม่ใช่ว่าเสียแล้วจะไปซ่อมกันได้ง่ายๆ การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกาย มีประโยชน์และสุขภาพดีย่อมเป็นสิ่งจำเป็นครับ


นวดโดยเครื่อง......มันจะดีกว่านวดโดยคนได้อย่างไร  จริงมั้ยครับ ^___^